"แรมโบ้" แฉหลังชุมนุม 53 มีผู้สั่งการ ตบรางวัลเมื่อเสร็จงาน

13 พ.ค. 2563 | 11:10 น.

"แรมโบ้" แฉเบื้องหลังชุมนุม53"มีผู้สั่งการ" ตบรางวัลหลังเสร็จงานตั้งเป็น"ส.ส.-รมต." เตือนสติ "จตุพร" เพื่อนรัก หยุดความคิดสร้างความแตกแยก ชวนมาช่วยกันตอบแทนคุณแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2563 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธาน นปช.กล่าวถึงการยิงเลเซอร์ตามหาความจริง เหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อปี 2553ว่า ในฐานะที่เคยเป็นอดีตแกนนำที่อยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมคนหนึ่ง อยากจะเตือนสติ นายจตุพร ในฐานะเพื่อนรักว่า บทเรียนในอดีตพวกเราเคยตกเป็นเครื่องมือของใครบางคนบางกลุ่ม และต้องยอมรับความจริงกันว่า พวกเรามีจุดยืนที่เรียกว่า ทฤษฎี 2 ขาในการทำงาน

ขาที่ 1.เรามีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 

ขาที่ 2.เรามีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ในการรับใช้พรรคการเมืองเพราะทุกคนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองกันเกือบทุกคน และเรายังมีผู้บังคับบัญชาคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังในการชุมนุม คงไม่ต้องให้บอกว่าเป็นใคร 

 

ครั้นเมื่อเลือกตั้งเสร็จทุกคนก็ได้รับรางวัลสมนาคุณความดี ความชอบ แกนนำทุกคนมีตำแหน่งทางการเมืองกันถ้วนหน้า บางคนให้มีตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนได้ลูกหรือภรรยามาเป็น ส.ส.ในสภา 

 

แกนนำบางคน ได้เป็นถึงรัฐมนตรีใหญ่ใน2-3 กระทรวงด้วยซ้ำไป ที่ต้องพูดเพราะต้องการให้ทบทวนบทบาทความคิดว่าเราสู้เพื่อประชาชน สู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือสู้เพื่อพรรคการเมือง หรือสู้เพื่อใครบางคน หรือสู้เพื่ออยากได้ตำแหน่งของตัวเอง

 

 

 

ครั้นเมื่อเลือกตั้งเสร็จทุกคนก็ได้รับรางวัลสมนาคุณความดี ความชอบ แกนนำทุกคนมีตำแหน่งทางการเมืองกันถ้วนหน้า บางคนให้มีตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนได้ลูกหรือภรรยามาเป็น ส.ส.ในสภา 

แกนนำบางคน ได้เป็นถึงรัฐมนตรีใหญ่ใน2-3 กระทรวงด้วยซ้ำไป ที่ต้องพูดเพราะต้องการให้ทบทวนบทบาทความคิดว่าเราสู้เพื่อประชาชน สู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือสู้เพื่อพรรคการเมือง หรือสู้เพื่อใครบางคน หรือสู้เพื่ออยากได้ตำแหน่งของตัวเอง

นายสุภรณ์ กล่าวว่า เวลานี้เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูดกันแบบไม่มีอคติ มากล่าวหาใส่ร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือพูดเพื่อทำลายบรรยากาศให้บ้านเมืองมันมีปัญหาความขัดแย้งกลับขึ้นมาอีกครั้งเหมือนในอดีต มันได้ประโยชน์อะไร จึงอยากให้เพื่อนลองไตร่ตรองตั้งสติดูว่าตนพูดผิดหรือพูดถูก 

ยิ่งนายจตุพรพูดยิ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะสร้างความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา พวกเราน่าจะนำบทเรียนความขัดแย้งในอดีตที่ถูกกล่าวหาต่างๆนานานำมาเป็นบทเรียนเตือนสติ เตือนใจ ที่จะร่วมมือกันนำพาประเทศชาติไปสู่ความสามัคคีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่เป็นอย่างที่คนอื่นกล่าวหา หรือไม่ก็กล้ายอมรับการความจริงแบบลูกผู้ชายไปเลยว่า เราเดินทางผิด คิดผิดไปแล้วเราผิดพลาดจริงๆไม่เห็นต้องไปกลัวอะไร 

“ผมกลับมีมุมมองว่า ถ้าคนเราเดินผิดคิดผิด เรากลับตัวกลับใจคิดใหม่ทำใหม่ สังคมยังให้โอกาสให้อภัยเราได้เสมอ”

"จตุพรต้องพึงระวังอย่าเดินหลงทางซ้ำสอง ต้องพึงระมัดระวังอย่าตกเป็นเครื่องมือการเมืองของใครอีก ต้องหยุดการเดินหลงทางให้คนบางกลุ่มที่กำลังพยายามคิดจะสร้างความวุ่นวายสร้างความแตกแยกให้บ้านเมืองในขณะนี้ เราจะต้องไม่เป็นเครื่องมือให้ใครอีกต่อไป เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเมื่อปี 52 และ 53 ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับพวกเราว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นเช่นไร ยิ่งให้ผมพูดยิ่งจะเป็นการเผาพวกเดียวกัน อย่าให้ผมพูดเลย สุดท้ายประชาชนจะกล่าวหาว่า พวกเราเองต่างหากหลอกเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือเป็นเกาะกำบังเรียกร้องคร่ำครวญหาประชาธิปไตย จนกระทั่งถูกยัดเยียดข้อหาพาประชาชนไปตาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ใครบางคน ผมอายเขายิ่งผมพูดจะยิ่งเห็นธาตุแท้ของใครบางคนที่ทำกับพวกเราและยิ่งบาปกันไปใหญ่ ผมเองก็สุมแน่นเต็มหน้าอกไม่เคยคิดอยากระบายกับใคร ขณะนี้เวลานี้สมองคิดอย่างเดียว อยากไถ่บาปอยากกลับเนื้อกลับใจ อยากใช้ชีวิตและลมหายใจที่เหลืออยู่ตอบคุณแผ่นดิน หมั่นเข้าวัดทำบุญสร้างกุศลให้วีรชนทุกคนที่ล่วงลับได้อโหสิกรรมให้พวกเราทุคน" นายสุภรณ์ กล่าวและว่า

 

"ผมจึงฝากถึงเพื่อนรักตู่จตุพร ขอเป็นคำพูดที่เพื่อนเตือนสติเพื่อน ขอให้ใช้สติทบทวนให้หนักแน่นค่อยๆคิดทบทวนตัวเองเพราะชีวิตจริงไม่มีใครักเราเท่ากับตัวเราเอง บทเรียนสอนใจความเจ็บปวดในชีวิตคงเตือนสติเพื่อนให้หยุดพอได้แล้ว มีอะไรคุยกันปรึกษากัน เพื่อนคนนี้ยินดีพาเพื่อนไปสู่หนทางที่พบความสงบในชีวิต เรามา สร้างบุญกุศลให้ประเทศชาติประชาชนร่วมกันก่อนสิ้นลมหายใจ เพราะชีวิตนี้ไม่มีใครรู้ว่าเราจะจากโลกใบนี้ไปวันใหน ชีวิตนี้ไม่มีใครรู้วันตายของตัวเราเองอาจจะช้าหรือเร็วแล้วแต่ชะตากรรม แต่ชีวิตที่ยังดำรงเหลืออยู่ในปัจจุบันเรามาทำความดีเพื่อตอบแทนพระคุณแผ่นดินที่ให้เราเกิดมา ไม่ดีกว่าหรือ ที่ผมพูดถึงเพื่อนรักจตุพรไม่ได้มีอคติส่วนตัวแต่อย่างใด ก็เพียงเตือนกันในฐานะเพื่อนรักอีกสักครั้ง ส่วนจตุพรจะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่เพื่อน จะเกลียดจะโกรธผมก็คงไม่ว่ากันแต่ผมพูดด้วยความหวังดีจะขอเตือนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่ก้าวล่วงเพื่อนอีกถือว่าเราได้คุยกับเพื่อนเป็นที่สุดแล้ว" นายสุภรณ์ กล่าว