เอไอเอส ยังยืนหนึ่งฟันกำไรยอมรับโควิดมีผลกระทบ

07 พ.ค. 2563 | 12:41 น.

AIS เปิดผลประกอบการ Q1/63 รายได้รวม 42,845 ล้านบาท แม้กระทบจากโควิด-19 ยังคงเสถียรภาพมั่นคงทางการเงิน   พร้อมรุกลงทุน 4G, 5G ต่อเนื่อง กว่า 35,000 ลบ. ร่วมฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤติอย่างยั่งยืน​​​​​​​

7 พฤษภาคม 2563: นายสมชัย   เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส  เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563  มีรายได้รวมอยู่ที่ 42,845 ล้านบาท  กำไรสุทธิ 7,004 ล้านบาท   ด้านธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีรายได้ลดลง -1.1%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  เป็นผลจากการแข่งขันของอุตสาหกรรม ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวลดลง  

รวมถึง ยังได้รับผลจากมาตรการ ล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม ส่งผลให้ต้องปิดให้บริการชั่วคราวที่ AIS Shop, Serenade Club และ AIS Telewiz ในพื้นที่ตามประกาศของภาครัฐ โดยมีผู้ใช้บริการรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 41.1 ล้านราย  ยังคงมีฐานลูกค้าจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แบ่งเป็นลูกค้าระบบรายเดือน จำนวน 9.1 ล้านราย และมีลูกค้าระบบเติมเงินอยู่ที่ 32.0 ล้านราย

ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงเติบโตได้ดี มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 52,800 ราย ส่งผลให้ในปัจจุบัน มีลูกค้าประมาณ 1.1 ล้านราย เสริมให้รายได้เติบโต 27% เทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 1,640 ล้านบาท โดยเอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงแผนการตลาดต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ Fixed-Mobile Convergence ที่ผสานกันระหว่าง 3 บริการหลัก ทั้งอินเทอร์เน็ตมือถือ, อินเทอร์เน็ตบ้าน, คอนเทนต์ผ่าน AIS PLAYBOX และ AIS PLAY เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ

เอไอเอส ยังยืนหนึ่งฟันกำไรยอมรับโควิดมีผลกระทบ

ทั้งนี้ จากมาตรการล็อกดาวน์ และกระแสการ Work From Home ได้ส่งผลให้มีความต้องการ ใช้งานดาต้าและอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  โดยเห็นได้ชัดจากช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม  ส่งผลให้การใช้งานดาต้าไตรมาส 1/2563  เพิ่มขึ้นเป็น 14.7 กิกะไบต์/ผู้ใช้บริการ/เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน และร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน  ด้านอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง  เอไอเอส ไฟเบอร์ ก็มีความต้องการติดตั้งใหม่ที่สูงขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม  ส่งผลให้ยอดลูกค้าติดตั้งใหม่ในเดือนมีนาคมเพิ่มสูงขึ้น

ถึงแม้จะได้รับความต้องการที่สูงขึ้นในบริการโทรคมนาคมของเอไอเอส  แต่อย่างไรธุรกิจของบริษัทโดยเฉพาะรายได้จากการให้บริการซึ่งมีฐานลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ใช้บริการ  ทั้งลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร  ย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจาก COVID -19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในไตรมาส 1/2563 รายได้จากการให้บริการหลัก  จึงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 33,090 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ส่งผลให้เอไอเอสยังคงความสามารถในการทำกำไร  โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA) เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 19,576 ล้านบาท  ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 7,004 ล้านบาท  และอัตรากำไรสุทธิ  16.3%

จากสถานการณ์ยังคงเปลี่ยนแปลงและมีความไม่แน่นอน ดังนั้น เอไอเอส จึงให้ความสำคัญกับการปรับตัวและแผนธุรกิจเพื่อคงรายได้จากหน่วยธุรกิจต่างๆ   ในขณะที่หาแนวทางการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน  เพื่อคงกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไร  ซึ่งเอไอเอส  มีความพร้อมในการเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนข้างต้นด้วยความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนภาษีดอกเบี้ยและค่าเสื่อม (Net debt to EBITDA) ในระดับ 0.7เท่า  

เอไอเอส ยังยืนหนึ่งฟันกำไรยอมรับโควิดมีผลกระทบ

ซึ่งแสดงถึงระดับหนี้ค่อนข้างต่ำ  และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกนี้สูงกว่า 23,000 ล้านบาท โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปีนี้ จะเพียงพอสำหรับการลงทุนในการขยายโครงข่ายทั้งบริการ 5G และ 4G เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

หลังจากที่เอไอเอสเป็นผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ในเดือนกุมภาพันธ์  สำหรับพัฒนาบริการ 5G   เพื่อเสริมศักยภาพความเป็นผู้นำในระยะยาว   อีกทั้งจะช่วยสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ๆในอนาคต  รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนเพื่อให้บริการ 4G  โดยการลงทุนขยายโครงข่ายบนคลื่นความถี่ใหม่ย่าน 2600MHz ได้เริ่มต้นในปีนี้  เพื่อให้บริการทั้งบนเทคโนโลยี 4G และ 5G โดยมีงบการลงทุน 35,000-40,000 ล้านบาท และเดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย  หลังจากขยายเครือข่าย 5G ครอบคลุม 77 จังหวัดแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา

เอไอเอส ยังยืนหนึ่งฟันกำไรยอมรับโควิดมีผลกระทบ

“นอกจากการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในการดำเนินธุรกิจของเราแล้ว เอไอเอสยังเล็งเห็นถึงผลกระทบของวิกฤติที่ลุกลามไปในสังคมของเรา   ดังนั้นนอกจากมาตรการดูแลลูกค้าและพนักงานอย่างครบถ้วนรอบด้านแล้ว   เรายังทุ่มสรรพกำลัง  เพื่อช่วยเหลืองานด้านสาธารณสุขในการรับมือวิกฤตินี้อย่างต่อเนื่อง   ภายใต้ภารกิจเร่งด่วน “AIS 5G สู้ภัย COVID-19”  ด้วยงบลงทุนกว่า 110 ล้านบาท 

โดยเน้นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมของ 5G เพื่อการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปติดตั้งเครือข่าย 5G ในโรงพยาบาลที่รับตรวจและรักษาผู้ป่วย COVID-19, การส่งมอบหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ 5G ROBOT FOR CARE  เพื่อช่วยดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่พร้อมส่งมอบให้ครบทั้งหมดจำนวน 23 ตัว ให้กับโรงพยาบาล 22 แห่ง ภายในเดือนพฤษภาคม 2563 นี้ รวมถึง สนับสนุนระบบสื่อสาร รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลและองค์กรภาครัฐอีกมากมาย เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติในเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว  และพร้อมรับมือวิกฤติในระยะยาว” นายสมชัย กล่าวสรุป