แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมากระทรวงการคลัง เพื่อประชุมเตรียมความพร้อมในการจัดทำมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ในเบื้องต้นแนวทางในการเข้าไปฟื้นฟูเศรษฐกิจดังกล่าว จะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการช่วยเหลือเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนสภาพสังคมและเศรษฐกิจแนวใหม่ (New Normal) ซึ่งแนวทางการปฏิบัติจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะแรกจะเน้นการดูแลเรื่องการให้ความรู้ประชาชนในการผลิตอาหารให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ การให้ความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อให้เลี้ยงชีพได้เพียงพอในยามเกิดวิกฤติ
ส่วนระยะที่ 2 จะเน้นการส่งเสริมให้ประชาชนหารายได้จากการทำการเกษตร ด้วยการพัฒนาสินค้าชุมชน โดยจะให้วิสาหกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จไปเป็นพี่เลี้ยง เข้าไปให้ความรู้ เพื่อพัฒนาชุมชนให้แข็งแกร่งมากขึ้น และให้หน่วยงานภาครัฐ เข้าไปส่งเสริมการพัฒนาการผลิต การตลาด และเปิดช่องทางการขายให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และระยะที่ 3 จะเน้นสร้างความยั่งยืนกับเกษตรกรที่พัฒนาตัวแล้ว เพื่อให้สามารถเติบโตและเลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าช่วงเกิดวิกฤติต่างๆ ขึ้น ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ แม้รายได้จะขาดหายไปบางส่วนก็ตาม
สำหรับวงเงินที่ใช้ในการดำเนินการนั้น จะต้องหารือแบบบูรณาการกับหลายหน่วยงานร่วมกัน ทั้งจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธ.ก.ส. โดยจะต้องมาจัดทำแผนปฎิบัติการร่วมกันให้ชัดเจน และจะกำหนดระยะเวลารวมถึงงบประมาณที่จะต้องใช้ ก่อนเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)พิจารณาก่อน
อย่างไรก็ตามในส่วนของทางธ.ก.ส. จะมีการจัดวงเงินสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในช่วงหลังจากนี้อีกหลายโครงการ โดยเบื้องต้นจะมีวงเงินสินเชื่อไว้รองรับไม่ต่ำกว่า 50,000-100,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาธ.ก.ส.ได้มีสินเชื่อที่สามารถรองรับการฟื้นฟูได้เลย อาทิ สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ย 0.01% ส่งเสริมอาชีพระยะสั้นผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 สินเชื่อในการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน