"บาทอ่อน"ฉุดกำไร "หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า" บล.กสิกรไทย คาดQ1 หดตัว 81%

30 เม.ย. 2563 | 07:28 น.

"บาทอ่อนค่า" ฉุดผลประกอบการหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก ( แบบดั่งเดิม)  บล.กสิกรไทยคาดกำไรสุทธิ์ไตรมาสแรก7 บจ.รวมกันอยู่ที่ 1.8 พันลบ. ลดลง 81% YoY ขณะที่กำไรธุรกิจหลักยังโตแกร่ง 8.9 พันลบ.  เลือก EGCO และ RATCH เป็นหุ้นเด่น ลดคำแนะนำถือ GULF 

 

บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ระบุ คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 ของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าแบบดั่งเดิมจะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ลดลง 81% YoY และ 70% QoQ จากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง (อ่านตารางประกอบ ) และหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศ โดยเฉพาะของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภท IPP ( EGCO, GULF) และ SPP (BGRIM, GPSC) 

"บาทอ่อน"ฉุดกำไร "หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า" บล.กสิกรไทย คาดQ1 หดตัว 81%

 

อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรธุรกิจหลัก ( core profit )ในไตรมาส 1/2563  ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ 8.9 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 5% YoY และ 63% QoQ ปัจจัยหนุนการเติบโตในเชิง YoY คาดจะมาจาก 1) กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 15% YoY มาอยู่ที่ 24,473 MW ผู้ประกอบการที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดคือ BGRIM, CKP, GPSC,และ GULF 2) อัตรากำไรที่สูงขึ้นเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 6% YoY มาอยู่ที่ 266 บาท/mmbtu ส่งผลให้อัตรากำไรของ BGRIM และ GPSC สูงขึ้น 

แรงขับเคลื่อนการเติบโตในเชิง QoQ คาดจะมาจาก 1) การกลับมาผลิตในระดับปกติจากช่วงโลวซีซั่นในไตรมาส4 ,  2)การขาดหายไปของผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เทียบกับที่เกิดแผ่นดินไหวในประเทศลาวในไตรมาส 4/2562 ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาในประเทศลาวและส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ BPP และ RATCH และ 3) ไม่บันทึกค่าใช้จ่าย พนักงานก้อนใหญ่

 

ส่วนแนวโน้มภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/63  คาดว่าจะลดลง YoY จาก 1) กำไรจาก FX ที่ต่ำและ 2) กำไรธุรกิจหลักที่ลดลงจากรายได้ที่ระบุในสัญญาของโรงไฟฟ้า IPP ที่น้อยลงแม้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นและต้นทุนพลังงานลดลง เราคาดว่ากำไรสุทธิจะสูงขึ้น QoQ จากผลขาดทุนจาก FX ที่ลดลงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 32.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 32.8 บาท/ดอลลาร์ฯ ช่วงปลายไตรมาสก่อน คาดว่ากำไรธุรกิจหลักในไตรมาส 2/2563 จะอ่อนตัวลง QoQ จากอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงของผู้ใช้อุตสาหกรรมและค่าไฟฟ้าที่ลดลง 3% ตามคำสั่งของรัฐบาลตั้งแต่เดือนเม.ย. ถึง มิ.ย.ซึ่งจะกดดันกำไรธุรกิจหลักของผู้ประกอบการ SPP (BGRIM GPSC และ GULF)

ทั้งนี้ยังคงมุมมอง "บวก" ต่อกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก ราคาหุ้นของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานหลักปรับเพิ่มขึ้นดีกว่ากลุ่ม จากอัตราตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำ ผลจากความกังวลต่อเรื่องสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ถดถอยลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ราคาหุ้นของ GULF ดีกว่าของคู่แข่งหนุนจากภาพรวมการเติบโตในระยะยาว 

ดังนั้น บล.กสิกรไทย จึงปรับลดคำแนะนำหุ้น GULF เป็น “ถือ” จาก upside ที่จำกัด ให้ราคาเป้าหมาย GULF ที่  35.50 บาท (ราคาหลังแตกพาร์ ) จากเดิมที่ 177.0 บาท และเลือกผู้ประกอบการประเภท IPP อย่าง EGCO (ราคาเป้าหมาย 358 บาท ) และ RATCH (ราคาเป้าหมาย 75.75 บาท ) เป็นหุ้นเด่น กอปรกับระดับราคายังขึ้นค่อนข้างน้อย