เปิดธุรกิจ รับวิถีชีวิตใหม่ "New Normal"

30 เม.ย. 2563 | 06:53 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3570 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.-2 พ.ค.63 โดย...พริกกะเหรี่ยง

 

     .....สถานการณ์ “โควิด-19” ของไทย “การ์ดไม่ตก” ดีขึ้นตามลำดับ แต่นั่นก็ยังไม่น่าไว้วางใจ หากจะเปิดเมือง ผ่อนปรนมาตรการ “ล็อกดาวน์” สิ่งที่ทำมาเป็นอย่างดีตลอด 3-4 เดือน อาจจะเป็น “ศูนย์” ดังที่หลายฝ่ายเป็นห่วง การจะคลาย “ล็อกดาวน์” ได้อย่างน้อยก็ต้องไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกัน 3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แต่หากประเทศเพื่อนบ้าน ยอดพุ่งกระฉูด ทั่วโลกตัวเลขติดเชื้อสะสมพุ่ง 3 ล้านคน สถานการณ์ดังกล่าวคงยากที่จะ “วางใจ” ดังที่บรรดาคุณหมอทั้งหลายเป็นห่วง กับการกลับมาระบาด “รอบใหม่” ดังตัวอย่างที่เห็นในหลายประเทศ

     .....ขณะที่มณฑล “หูเป่ย” ของจีน ต้นตอการแพร่ระบาด สถานการณ์ดีวันดีคืน พบว่าไม่มีผู้ป่วยในร.พ.อู่ฮั่น แหล่งท่องเที่ยวเกินครึ่งเริ่มเปิดให้บริการอีกครั้ง แต่ก็ยังรักษาระยะห่าง จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวและเปิดให้เข้าชมตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีลักษณะเปิดโล่ง ก่อน ส่วนร้านอาหารในเมือง มีมาตรการเข้มงวด ทั้งการรักษาระยะห่าง และอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความ “เสี่ยง” เกิดระบาดซ้ำขึ้นมาอีก ซึ่งการควบคุมสถานการณ์ในจีนทำได้ดี ส่วนใหญ่ที่ยังพบผู้ติดเชื้อจะมาจากคนจีนที่กลับจากต่างประเทศ และไม่แสดงอาการ 

     .....ประเทศไทยประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน ควบคุมโรคมาครบ 1 เดือนเต็ม เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยมี “บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่งหัวโต๊ะคุม “ศูนย์ศบค.” จนทำให้การระบาดของโรค ทำได้ดีมาก ชาวโลกพากันชื่นชมระบบการป้องกันของประเทศไทยและมาตรการต่างๆ ที่ทำให้สามารถคุมการระบาดได้ดีมาก และคอนเฟิร์มถึงระบบสาธารณสุข การรักษาพยาบาลของไทยที่ดียังที่เขาว่ากัน ทำดีต้อง “ชม” เพราะนายกฯไหวตัวทันเชื่อ “คุณหมอ” มากกว่าเชื่อ “นักการเมือง”

     .....แต่ที่ยังเป็นห่วงกันก็คือหากเห็นว่าตัวเลขดี แล้วมีการเรียกร้องให้ ปลดล็อกมาตรการ “ล็อกดาวน์” เปิดห้าง เปิดร้านค้าขาย ร้านอาหาร เปิดกิจกรรมต่างๆ ที่มีคนร่วมเป็นจำนวนมาก เพราะอีกมุมหนึ่งคนเดือดร้อนหนักทำมาหากินไม่ได้อีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อการประชุมเมื่อวันที่ 27 เมษายน “ศูนย์ศบค.” ประกาศ ขยายระยะเวลาการประกาศมาตรการพรก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือนจากเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน ไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้

     .....ทั้งยังคงเรื่องเคอร์ฟิวไว้เหมือนเดิมคือเริ่ม 4 ทุ่มถึงตี 4 ชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ข้ามภูมิภาค เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายเชื้อโรค ที่เคลื่อนย้ายตามคน ส่วนสนามบินยังไม่ให้สายการบินต่างชาติบินเข้าประเทศงดกิจกรรมที่มีคนเป็นจำนวนมาก อบรม สัมมนาและการทำงานอยู่กับบ้านต่อไป หรือ work from home กันต่อไป 

     .....ส่วนสิ่งที่ต้องทำและละเลยไม่ได้ คือ การเว้นระยะห่าง การวัดอุณหภูมิ ล้างมือโดยเจล จำกัดจำนวนคน และการมีแอพติดตามตัว เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะมีการผ่อนปรนบางอย่างตามที่ เอกชนร้องขอ หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ แม้ว่าจะเปิดกิจกรรมค้าขายบางอย่างได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนแน่นอนก็คือ ทุกอย่าง ไม่เหมือนเดิม “เป็นวิถีใหม่” หรือที่คนมักพูดกันติดปากช่วงนี้ว่าเป็น “New Normal” ทุกอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การทำธุรกิจ การใช้ชีวิตประจำวัน ที่จะไม่มีวันกลับมาเป็นปกติ อีกต่อไป 

     .....การเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก การเดินทาง รถขนส่งสาธารณะ การเรียนการสอน นักเรียนหรือ ครู ที่ต้องหันมาพึ่งพาระบบออนไลน์ ในการเรียนการสอน จะต้องเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทั้งหมดให้ทันกับสถานการณ์ของโรค ที่ขณะนี้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์แบบนี้จะลากยาวไปถึงต้นปีหน้ากว่าจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ มียารักษาหรือวัคฉีดมารักษาให้หายขาดได้ ตามที่ “นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” โฆษกศบค. ย้ำเตือนกันมาตลอด  

     .....สังคม “ใส่หน้ากาก” เข้าหากันยังคงมีอยู่ต่อไป ไม่ใช่แค่ในสุภาษิต โบราณ แต่จะอยู่ในชีวิตจริงของผู้คนทั่วโลก อดทนกันต่ออีก 1 เดือน เป็นอย่างน้อย เพราะตราบใดที่ยังไม่มียารักษา ก็ต้องเฝ้าระวัง จำกัดจำนวนการแพร่ระบาด ป้องกันให้ตัวเลขเหลือน้อยที่สุดจนถึงเป็นศูนย์แต่ถ้าหากเราหย่อนยานกับมาตรการควบคุมเมื่อไร การแพร่ระบาดก็จะกลับมาอีกซึ่งไม่มีใครยากให้เกิดขึ้นแน่นอน แต่นั่นหมายถึงทุกคนต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อดทนกันอีกนิดเพื่อความปลอดภัย 100 %