"สมคิด" สั่งกองทุนหมู่บ้านลุย"Barter Trade”เสริมแกร่งศก.ฐานราก
กองทุนหมู่บ้าน เดินหน้าสร้างเศรษฐกิ0ฐานรากประเดิม โครงการแลกเปลี่ยนสินค้ากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ข้าวสารท้องคุ้ง และอาหารทะเลท้องคุ้ง พร้อมต่อยอด สร้างเป็นต้นแบบเพื่อขยายเครือข่าย สร้างรายได้พัฒนาชุมชนทั่วประเทศ
นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.)เปิดเผยว่า จากแนวทางของประธานกองทุนหมู่บ้าน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้กองทุนหมู่บ้าน ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือชุมชน ใน 3 แนวทาง คือ การสร้างรายได้ที่ดีให้กับชุมชน การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นลดค่าครองชีพให้กับคนในชุมชน รวมทั้งการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชุมชน ซึ่งปัจจุบัน กองทุนหมู่บ้านมีสมาขิกอยู่กว่า 12.9 ล้านครัวเรือน
ล่าสุด ดร.สมคิด ยังให้ความสำคัญกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจบโควิด โดยเฉพาะเรื่องของ Local Economy ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง "Barter Trade” หรือการแลกเปลี่ยนสินค้า ที่กองทุนหมู่บ้านบ้านท้องคุ้ง หมู่ที่ 4 ต.ปากจั่นอ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีการเจรจาตกลงส่งมอบข้าวสารแลกเปลี่ยนอาหารทะเลกับกองทุนหมู่บ้าน(สถาบันฯ) กับสถาบันบ้านท้องคุ้ง ที่สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2563 ทางกองทุนหมู่บ้านจึงเข้ามาเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ ขยายแนวคิดดังกล่าวให้เป็นต้นแบบต่อไป
นอกจากนี้ กองทุนหมู่บ้านยัวเดินหน้าสนับสนุน สร้างงานสร้างรายได้ พร้อมพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อส่งเสริมชุมชนรวมไปถึงการพัฒนาช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อเชื่อมต่อการเข้าถึงผลิตภัณธ์ในแต่ละชุมชนได้ง่ายและสะดวกขึ้นในอนาคต
นายเซเว่น เสงี่ยมเฉย ประธานกองทุนหมู่บ้านบ้านท้องคุ้ง หมู่ที่ 4 ต.ปากจั่น อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า แนวคิดนี้ต่อยอดมาจากการสร้างงานสร้างอาชีพ ซึ่งกองทุนฯ ได้มีการตั้งโรงสีขุมชน และมีการต่อยอดไปถึงเครือข่ายอื่นๆ คือ การทำข้าวแลกอาหารทะเล จากข้าวสารจำนวน 300 ถุงๆ ละ 5 กิโลกรัม แลกเปลี่ยนกับอาหารทะเลแปรรูปของสมุทรสาคร โดยการประเมินราคา เป็นการตกลงราคากันด้วยความสมัครใจ ผลผลิตที่แลกเปลี่ยนมา จะกระจายให้กับสมาชิก และส่วนหนึ่งจะกระจายให้กับผู้สูงอายุ ตามสวัสดิการของกองทุนฯ
ส่วนการขยายผล ทางกองทุนหมู่บ้านบ้านท้องคุ้ง จะต่อยอดไปสู่ธนาคารผลผลิต ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรับจำนำผลผลิตของสมาชิกที่มีปริมาณมาก แต่เจอสภาพตลาดที่ชะงักงัน เช่นในช่วงที่โควิด -19 ระบาดอยู่นี้ ทีมีการผลิตอิฐมอญจำนวนมาก แต่ขายไม่ได้ สมาชิกจะมาขายฝากไว้ จนกว่าจะมีกำลังซื้อในตลาด ซึ่งสมาชิกสามารถนำไปขายเอง หรือให้ทางกองทุนฯ ขายให้ก็ได้ โดยกองทุนได้จัดสรรงบประมาณ 5 แสนบาท สำหรับโครงการนี้
อีกหนึ่งกิจกรรมคือ การสร้างท่าเทียบเรือ ที่บริเวณคลองที่ตัดมาจากแม่น้ำป่าสัก จากงบประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งส่วนหนึ่งคือการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่สามารถไปชมระบบโลจิสติกส์ในบ้านท้องคุ้ง และ แวะชมวัดวาอารมที่อยุธยา