บทความจากห้องเรียนผู้ประกอบการ "โลกหลังวิกฤติCovid-19" (ตอนที่1)

24 เม.ย. 2563 | 00:25 น.


โดย : ดร.กฤษฎา เสกตระกูล
รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มา : https://www.set.or.th/set/enterprise/article/detail.do?contentId=6928


ในระหว่างการเกิดวิกฤติ Covid-19 ขึ้นนี้ ทุกคนก็คงพอจะเห็นแล้วว่าโรคระบาดนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงไปทั่วโลก ไม่เฉพาะแต่เรื่องการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่การป้องกันโดยใช้มาตรการสร้างระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ทำให้ส่งผลกระทบต่อการหยุดชะงักด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ สิ่งที่ตามมาที่เราเห็นก็คือการว่างงานจำนวนมหาศาลเพราะหลายธุรกิจต้องหยุดหรือชะลอการดำเนินงาน มีการคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะติดลบอย่างมาก และคงเป็นไปอย่างนี้จนกว่าจะได้มีการผลิตวัคซีนหรือยาออกมาปราบไวรัสตัวนี้ ซึ่งทางวงการแพทย์เองต่างก็คาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 2 ปีต่อจากนี้ ซึ่งในระหว่างนี้ทุกประเทศก็คงบอบช้ำกันไปตามๆ กัน

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า โลกหลังวิกฤติ Covid-19  จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน เพราะถ้าสังเกตดู ระหว่างวิกฤติ Covid-19 นี้ มีหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตผู้คนเปลี่ยนไป และอาจไม่กลับมาเหมือนเดิม ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐาน (Fundamental Changes) ในชีวิตและสังคมของมนุษย์ จนหลายๆ คนเชื่อว่า เรากำลังก้าวไปสู่โลกใหม่ (A New World) ในตอนที่1 นี้ ผมขอนำข้อคิดวิเคราะห์และข้อสรุปจากบทความในนิตยสาร Forbes, 7 April 2020 ชื่อ “The New World : How The World Will Be Different After COVID-19” เขียนโดย Suzy Taherian ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงไว้ 8 ประการดังนี้

1) ธุรกิจจะหันมาใช้ค่คู้าในประเทศมากขึน้ (Supply chains will be local rather than global) ในช่วงเวลาที่ผ่านมาโลกพยายามเปิดเสรีทางการค้า และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันในระดับ Global ตัวอย่างเช่น การสร้างการค้าขายแบบ Online Shopping ซึ่งทำให้เกิดคู่ค้าที่เกี่ยวข้องไปทั่วโลก ทั้งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค แบบไร้พรมแดน แต่การมาของไวรัส Covid-19 ถือว่าได้เข้ามาทำลายห่วงโชอุปทานระหว่างประเทศ บริษัทในประเทศที่เคยพึ่งพิง Foreign Suppliers เกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถค้าขายกันได้ระหว่างเกิดโรคระบาด ต้องหันมาทบทวนการลดความเสื่ยงลงโดยหันมาใช้ Local Suppliers มากขึ้น แม้จะมีต้นทุนสูงขึ้นก็ตาม

2) ร้านค้าปลีกจะหันมาค้าขายแบบออนไลน์มากขึ้น (Shop, work and play online) ระหว่างที่เกิดโรคระบาดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร้านค้าปลีกในลักษณะ Physical Stores เริ่มสูญเสียอำนาจการแข่งขันไปให้กับOnline Shopping เพราะผู้คนเกิดความไม่สะดวกในการออกไปจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งโดนมาตรการปิดเมืองทำให้ต้องปิดหน้าร้านระหว่างเหตุการณ์ระบาดของโรค กลุ่มร้านค้าปลีกเหล่านี้จำนวนมากในตอนแรก ถือว่าปรับตัวกับการค้าขาย Online ได้ช้าที่สุด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มร้านค้าเหล่านี้ปรับตัวมาทำ Online Commerce ได้เร็วขึ้น บรรดาร้านค้าเหล่านี้ในอนาคต จะทำธุรกิจทั้งในแบบหน้าร้านและ Online จะไม่มีทางหวนกลับไปทำการค้าในลักษณะ In-store อย่างเดียว ผลกระทบที่ว่านี้  นอกเหนือจากมีต่อ Physical Stores แล้ว ยังส่งผลทางลบต่อบรรดาศูนย์การค้าทั้งหลายที่เรียกว่า Commercial Real Estate ที่มีบรรดาร้านค้าต่างๆ ไปตั้งอยู่ในนั้นก็จะต้องปรับตัวตามไปด้วย

3) การฟื้นฟูความเชื่อมั่นต้องใช้เวลา (Loss of trust will take time to recover) เหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ได้ลดทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไปทุกหย่อมหญ้า ลองคิดดูว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดที่คนจะกล้ากลับไปขึ้นเรือส าราญเพื่อท่องเที่ยวอีกครั้ง หรือการที่จะเปิดบ้านให้ลูกค้าที่เป็นคนแปลกหน้าเข้ามาเช่าห้อง หรือเช่าบ้านหรือบางประเทศที่ได้ผลกระทบมีคนติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จะกล้าเปิดประเทศอย่างเต็มที่เพื่อรับนักท่องเที่ยวอีกการฟื้นฟูความเชื่อมั่นนี้ต้องใช้เวลา มีการคาดการณ์กันว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีหลังวิกฤตินี้

4) ความรู้ความชำนาญด้านเทคโนโลยีจะเพิ่มโอกาสให้แรงงานที่ปรับตัวได้(Digital divide will become a chasm) ความรู้และทักษะด้าน IT จะสำคัญมากในยุคต่อไป จะทำให้เกิดช่องว่างแบ่งคนออกเป็นคนที่ใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วและคนที่ไม่ชำนาญ ซึ่งคนที่ปรับตัวและใช้ได้จะมีโอกาสได้งานมากกว่า ต่อจากนี้ไปคนจะเริ่มทำงานและเรียนรู้ทาง Online กันมากขึ้นเพราะในช่วงโรคระบาดมันได้พิสูจน์แล้วว่าคนทำงานอยู่ที่ใดก็ได้
 

5) การลงทุนจะหันมามุ่งเน้นกับตลาดในประเทศมากขึ้น (Home-bias will increase dramatically) เหตุการณ์โรคระบาดนี้จะกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก เพราะทำให้บรรดานักลงทุนหันมาทบทวนเกี่ยวกับเรื่องความเสี่ยงว่า การลงทุนแบบใกล้บ้าน (Closer to home) น่าจะเข้าใจง่ายกว่าการออกไปลงทุนไกลๆ ในประเทศอื่น นักลงทุนจึงถูกคาดการณ์ว่าจะหันมาลงทุนในตลาดในประเทศมากขึ้น

6) ระบบสวัสดิการทางสาธารณสุขจะถูกยกระดับมาตรฐานให้ประชาชน (Healthcare for all becomes a more standard view) ก่อนการเกิดโรคระบาด การออกสวัสดิการรักษาพยาบาลให้แก่ประชาชนทุกคนที่เรียกว่า Universal Healthcare ถูกมองว่าเป็นความสิ้นเปลือง แต่เมื่อเกิดเรื่อง Covid19 และมีการพูดเรื่อง Free Testing ให้แก่ประชาชนทุกคน ก็อาจมีปัญหาว่าไม่ได้เตรียมการไว้และไม่มีงบประมาณเพียงพอ ในอนาคตรัฐบาลประเทศต่างๆ จะหันมาทำนโยบายสาธารณสุขให้มีลักษณะ A Good Healthcare System ซึ่งต้องใช้งบประมาณที่สูงขึ้น

7) การพัฒนาระบบสวัสดิการแรงงานจะเข้มแข็งขึ้น เพราะจะมีคนตกงานมหาศาลเป็นเวลานาน (Unemployment benefit is not just for the lazy) ในภาวะปกติของระบบเศรษฐกิจเราอาจมีคนว่างงานอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่ามีคนที่อาจจะไม่ค่อยขยันปนอยู่ และต้องการรับสวัสดิการช่วยเหลือจากรัฐ แต่เหตุการณ์ Covid-19 ส่งผลกระทบต่อการหยุดชะงักของระบบเศรษฐกิจ แรงงานมีการตกงานจำนวนมากแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนและเข้ามาขอรับความช่วยเหลือหรือเยียวยาจากรัฐบาล ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก และจะกลายเป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศต่อไป ในระยะต่อไปประเทศต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาฐานข้อมูลและระบบการจ่าย สวัสดิการแรงงานให้มีมาตรฐานดีกว่าเดิม เพื่อให้การจ่ายเงินหรือทรัพยากรต่างๆ เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ

8) ธุรกิจประกันภัยจะได้รับความสำคัญมากขึน้ (Insurance takes center stage) ในอดีตที่ผ่านมาบุคคลและธุรกิจมักจะมองเรื่องความเสี่ยงและการทำประกันภัยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และเห็นว่าการใช้บริการด้านการประกันภัยเป็นเรื่องการมองโลกในแง่ลบเกินไป แต่การเกิดโรคระบาดในครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายอย่างเกินกว่าจะประเมินมูลค่าได้ไปทุกที่ทั่วโลก ใครที่บริหารความเสี่ยงได้ดี มีการทำประกันภัยไว้เหมาะสมก็อาจสามารถบรรเทาผลกระทบตอนนี้ได้ดีกว่า การบริหารความเสี่ยงถูกคาดหมายว่าจะเป็น A Core Activity ในโลกใหม่ต่อไป แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจประกันภัย แต่บริษัทประกันภัยเองก็จะเข้มงวดมากขึ้นในการรับประกันภัยและการบริหาร Exposure ที่จะเกิดขึ้น โดยธรรมชาติในระหว่างสงครามซึ่งมีความยากลำบาก บรรดาผู้คนก็มักจะปรารถนาจะให้มีสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า ที่เรียกว่า Rebirth หรือ Renewal ให้เกิดขึ้น และเมื่อสงครามยุติก็มักจะมีเหตุการณ์ที่เรียกว่า A Post-war Boom เกิดตามมาเพราะได้ผ่านพ้นความเจ็บปวดที่ผู้คนล้มตาย และเมื่อความสงบสันติได้เข้ามา ผู้คนจะรู้สึกอยากระเบิดพลังฝ่ายดี (Creative Energy) ออกมา และกระตือรือล้นที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ มีสินค้าและบริการใหม่ๆ คนจะอยากกลับไปทำงาน บริโภค พักผ่อน ท่องเที่ยว และการลงทุนก็จะกลับมา