นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ส่งออกอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาช่วงสถานการณ์โควิด ว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปและแปรรูปของประเทศตัวเลขเมื่อปี 2562 มูลค่ารวมกัน 870,000 ล้านบาท ปริมาณการผลิตทั้งหมดใช้บริโภคในประเทศ 84 % ส่งออก 16 % สำหรับการส่งออกปี2562 มีมูลค่า 579,000 ล้านบาทคิดเป็น 7.6% ของการส่งออกรวมทั้งหมด ทั้งนี้อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปและแปรรูปของประเทศไทยนั้น ถือเป็นผู้ส่งออกเป็นอันดับ 10 ของโลกซึ่งสินค้าที่ไทยส่งออกเป็นลำดับ 1 ของโลก ประกอบด้วย สับปะรดกระป๋อง มะพร้าวกะทิ และข้าวโพดหวานกระป๋อง
สำหรับไตรมาสแรกของปีนี้ การส่งออกอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปและแปรรูปของประเทศไทย ส่งออกมูลค่า 137,756 ล้านบาท สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพในการส่งออกประกอบด้วยอาหารทะเลสำเร็จรูปอาหารสำเร็จรูปผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องผลิตภัณฑ์กะทิ และข้าวโพดหวาน
อย่างไรก็ตามจากการหารือร่วมกันในวันนี้ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าเราจะร่วมมือกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กระทรวงเกษตรและภาคเกษตรกรรวม ทั้งผู้ประกอบการส่งออก แปรรูป เพื่อกำหนดมาตรการที่จะเดินไปข้างหน้าในช่วงวิกฤติโควิดและหลังวิกฤติโควิดประกอบด้วย 10 มาตรการ
มาตรการที่1 ในภาวะวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและในโลก ถือเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารของประเทศฝนการจับมือกันระหว่างกระทรวงและภาคเอกชนในการทำประชาสัมพันธ์และทำการส่งเสริมการขายสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดโลกกับผลิตภัณฑ์อาหารของไทย ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำคลิปขึ้นมา 10 ภาษาเพื่อทำการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์อาหารไทยในสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์กับสายตาชาวโลก
มาตรการที่2 ให้ทูตพาณิชย์เข้ามีบทบาทมากขึ้นโดยเฉพาะจะต้องประชุมออนไลน์ร่วมกับภาคเอกชนในภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งภาคธุรกิจอาหารสำเร็จรูปด้วยทุกเดือนถ้าเป็นไปได้ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
มาตรการที่3 กำหนดแผนงานร่วมกันในการทำแผนเปิดตลาดใหม่โดยเฉพาะเพื่อช่วยให้ SME ได้มีโอกาส โดยเฉพาะตลาดสำคัญอย่างอาเซียน ตะวันออกกลาง รัสเซีย
มาตรการที่4 เร่งรัดในการเจรจาจัดทำ FTA กับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรของประเทศอังกฤษต่อไปโดยเร็ว
มาตรการที่5 จัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพในการเป็นช่องทางระบายสินค้าด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรรวมทั้งผู้ผลิตแปรรูปและผู้ส่งออกได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
มาตรการที่6 จะเร่งรัดแก้ไขปัญหาในเรื่องของการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปไม่ว่าจะอากาศ ทางเรือ ทางบก
มาตรการที่7 ใช้กลไกเกษตรพันธสัญญาเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
มาตรการที่8 รวมกันส่งเสริมการบริโภคน้ำผลไม้ 100% ของไทยซึ่งยังติดปัญหาอุปสรรคในเรื่องของภาษีสรรพสามิตที่ยังกำหนดเก็บภาษีในรูปแบบภาษีความหวาน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และเอกชนเห็นว่ากรมสรรพสามิตควรจะได้ปรับปรุงทบทวนในเรื่องของความหวานที่เกิดจากผลไม้ธรรมชาติจริงๆเพื่อส่งเสริมการดื่มน้ำผลไม้ของไทยให้มากขึ้นโดยไม่ไปเก็บหรือเพิ่มภาษีความหวานในส่วนของน้ำผลไม้ธรรมชาติ
มาตรการที่9 จะร่วมมือกับภาคเอกชนในการใช้ห้องเย็นที่มีอยู่ 600 กว่าแห่งในประเทศไทยให้เป็นประโยชน์ในการชะลอพืชผลทางการเกษตรสำคัญที่จะออกสู่ตลาดและมีผลกระทบทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำให้มากขึ้น
มาตรการที่ 10 กำแพงภาษีที่ค่อนข้างสูง จะมอบหมายให้พูดพาณิชย์เร่งเจรจาเพื่อคลี่คลายปัญหานี้เพื่อจะได้ทำตัวเลขส่งออกให้มากขึ้นและนำรายได้เข้าประเทศในช่วงนี้