“เอนก” ชื่นชมนักธุรกิจไทย เปี่ยมด้วยน้ำใจในยามวิกฤติ

23 เม.ย. 2563 | 01:45 น.

ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา และกรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย เขียนบทความเรื่อง “ธุรกิจไทยก็เปี่ยมด้วยน้ำใจ : ภาพจากกรณีโควิด-19 ระบาด”มีข้อความดังนี้

 ศ.ดร. เอนก  เหล่าธรรมทัศน์

 

ธุรกิจไทยนั้น  บ่อยครั้ง ถูกมองในแง่ลบ ทั้งที่ทำประโยชน์ให้สังคม ช่วยเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประเทศ ยิ่งธุรกิจใหญ่ จะถูกสงสัยไว้ก่อนว่าเอารัดเอาเปรียบสังคม ชอบผูกขาดตัดตอน และฉกผลประโยชน์จากรัฐ แต่ผมก็สังเกตได้ว่า นักธุรกิจ นั้น เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ก็มีไม่น้อยที่ “ใจบุญสุนทาน” ชอบบริจาค และทำสาธารณกุศล ชอบช่วยเหลือสังคม เป็นอย่างนี้มานานเต็มที  ขอให้นึกถึง “ป่อเต๊กตึ๊ง” นึกถึง “ร่วมกตัญญู” และ นึกถึง “หัวเฉียว” เป็นตัวอย่างนะครับ

 

เร็วๆ นี้ เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 โดยไม่คาดคิด เราท่านก็เห็นความริเริ่มของคุณธนินทร์ เจียรวนนท์ ในฐานะอภิมหาเศรษฐีชั้นนำ ท่านได้รีบเร่งสร้างโรงงานผลิตหน้ากากที่ทันสมัยขึ้นมา และภายในไม่กี่อาทิตย์ก็แจกจ่ายให้วงการแพทย์ และ ประชาชน โดยผ่านทางสภากาชาดไทย ก็ เป็นอันว่า ที่กังวลกันมาก่อนว่า หน้ากากอนามัยจะแพงเหลือล้น และจะมีไม่พอจำหน่ายแน่ นั้น ปัญหานี้ เป็นอันหมดไป โดยสิ้นเชิง 

 

เรื่องข้างต้นนี้ย่อมจะชี้ให้เห็นว่า อันธุรกิจนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อเงิน เพื่อกำไรได้แต่เพียงอย่างเดียว หากธุรกิจใด “คิดดี ทำดี” แล้วในยามวิกฤติ ยังผลิตของใช้ทางอนามัยบริจาคก็ได้  นับเป็นการคืน “กำไรสะสม” ให้แก่สังคม-ลูกค้า ซึ่งได้อุปถัมภ์ธุรกิจทั้งหลายของตนมาแต่ช้านาน นั่นเอง

 

“เอนก”  ชื่นชมนักธุรกิจไทย เปี่ยมด้วยน้ำใจในยามวิกฤติ

 

อีกกรณีหนึ่ง สืบเนื่องจากที่กระทรวงแรงงานจัดการนำเงินจาก ”กองทุนประกันสังคม” มาจ่ายให้ผู้ประกันตนที่ตกงานจากโควิด-19 ได้ ซึ่งถึงวันนี้ มีคนมาลงทะเบียนขอรับเงินนี้ราวหนึ่งล้านคน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ และ กองทุน ยืนยันว่าเงินชดเชยซึ่งจะตกเดือนละ 5-9 พันล้านบาทนั้น อยู่ในกำลังความสามารถของกองทุน ไม่มีอะไรต้องวิตกกันอีกต่อไป

 

ผมขอเล่าเพิ่มเติมว่า ทางการได้รับรายงานด้วยว่า จนถึงทุกวันนี้ มีธุรกิจโรงแรมจำนวนหนึ่ง ไม่ได้ปิดกิจการ ยังเสียสละ จ่ายเงินให้ฝ่ายจัดการพนักงาน และลูกจ้างต่อไป ซึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้มีแต่โรงแรมที่ทุนหนาเท่านั้น หากโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนไม่น้อย ก็ทำเช่นนี้

 

 มีที่ผมทราบเอง  รายหนึ่ง อยู่วงเวียนใหญ่ ซอยอินทรพิทักษ์ 1 ที่นี่เขายังยืนหยัดกิจการมาตลอด ทั้งที่แทบจะไม่มีลูกค้าเลย แต่คุณเจ้าของไม่ยอมปลดลูกน้องออกแม้คนเดียว ยังหน้าชื่น อกตรม รับการขาดทุนด้วยตนเอง นี่ก็แสดงอีกครับว่า นักธุรกิจไทยไม่น้อยไม่ได้คิดแต่เรื่องกำไรขาดทุน หากเขาคิดได้ว่า ก็ตนเองนั้น เป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วย หากสังคมร้อนก็ร้อนตาม หากสังคมหนาวก็ยอมหนาวด้วย 

 

สุดท้าย ยังมีธุรกิจที่ผมฟังมานะครับว่า แม้รัฐบาลจะจ่ายค่าชดเชยการว่างงาน “สุดวิสัย”ให้เจ้าหน้าที่และพนักงานแล้ว แต่เจ้าของกิจการก็ยังมี “หัวใจก้อนโต” จะจ่ายเงินทบขึ้นไปใน”รูปแบบ” ที่ทำได้อีกจน “ลูกน้อง” ทุกคน ยังจะได้รับเงินเดือนต่อไปในอัตราเดิม เสมือนว่าไม่มีโควิดมากล้ำกรายเบียดเบียน

 

 

คนดีศรีอยุธยา เที่ยวนี้ จึงมีมากมายเสียจริงๆ มีตั้งแต่ “คนจน” “คนแสนจะธรรมดา” หรือ “คนชั้นกลางระดับล่าง” ในชนบท โดยเฉพาะนับล้านที่เป็น “อสม.” มาจนถึง “คนชั้นกลาง” ในเมือง ในกรุง รวมทั้ง “ฝ่ายค้าน” และ “ฝ่ายวิพากษ์” ที่ยอมสงบ ยอมอดทน และยอมให้ความร่วมมือกับหมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง

 

 และในวันนี้ผมขออนุญาตเพิ่มอีกประเภทของคนดีศรีอยุธยา” คือ “นักธุรกิจ” ไงครับ

 

ภูมิใจกับ “คนดี” เหล่านี้ ห่วงแต่ว่าวันใดที่ วิกฤติหมดไป เราจะกลับมาเป็นคนไทยยามปกติต่อไป ฤาเราจะอยู่ในแบบแผน “คนดีศรีอยุธยา” กันได้ ก็แต่เฉพาะในยามมหาวิกฤตเท่านั้น ?