"บาทแข็ง"ดึงแบงก์ชาติขาดทุนปี 62 กว่า 3แสนล้าน

22 เม.ย. 2563 | 12:23 น.

ธปท.แจงงบการเงินปี 2562มีผลขาดทุนรวมกว่า 3แสนล้านบาท สาเหตุหลักจากเงินบาทแข็งขึ้น 7.6%เทียบสกุลเงินดอลลาร์ เผยไตรมาสแรกของปี 2563 เงินบาทพลิกกลับอ่อนค่า 8.3%ทำกำไรสุทธิ 3.65แสนล้านบาท

"บาทแข็ง"ดึงแบงก์ชาติขาดทุนปี 62 กว่า 3แสนล้าน

ปี 2562 เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ทั่วโลก รวมทั้งธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักกลับมาดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักอ่อนค่าลง นอกจากนี้ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในระดับสูง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงเข้าดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 259 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2562 จาก 239 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2561

 

"บาทแข็ง"ดึงแบงก์ชาติขาดทุนปี 62 กว่า 3แสนล้าน

๑๑ธปท. บริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยมุ่งรักษามูลค่าในรูปเงินตราต่างประเทศเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพียงพอและพร้อมใช้ โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง และกระจายความเสี่ยงทั้งในรูปของสินทรัพย์และสกุลเงิน ในปี 2562 ผลการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ ได้ผลตอบแทนในสกุลเงินต่างประเทศเป็นบวกและสูงกว่าอัตราผลตอบแทนอ้างอิง (benchmark return) และมีรายรับดอกเบี้ยจากการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศสูงกว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายในการดำเนินนโยบายการเงิน (positive carry) ด้วย แต่การแข็งค่าของเงินบาท ทำให้เกิดผลขาดทุนทางบัญชีจากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศให้อยู่ในสกุลเงินบาท รวมทั้งในปี 2562 ธปท. ปรับวิธีการบันทึกบัญชีของตราสารอนุพันธ์ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้รองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) ทำให้เกิดผลขาดทุนจากการปรับมาตรฐานบัญชีด้วยอีกส่วนหนึ่ง 
ผลการดำเนินงานของ ธปท. ที่ผ่านมา มีทั้งขาดทุนและกำไรขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเป็นสำคัญ เช่น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ค่าเงินบาทอ่อนค่าจาก 30.1 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2562 เป็น 32.7 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 ส่งผลให้ ธปท. มีกำไรสุทธิ 365.2 พันล้านบาท  ผลขาดทุนหรือกำไรที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ธนาคารกลางของ ธปท. แต่อย่างใด 
1. งบการเงินของบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2562 
บัญชีธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2562 มีผลขาดทุนรวม 300.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน สาเหตุหลักจากการขาดทุนทางบัญชีจากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศ (valuation หรือ unrealized loss)  เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 7.62% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่รายรับดอกเบี้ยจากการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศสูงกว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายในการดำเนินนโยบายการเงิน (positive carry) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง รายละเอียดดังนี้
1.1 การดำเนินงานตามพันธกิจด้านการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ในปี 2562 มีรายรับดอกเบี้ยสุทธิ 14.5 พันล้านบาท เป็นผลจากดอกเบี้ยรับจากการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศที่สูงกว่าดอกเบี้ยจ่ายจากการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นบวกต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงต่ำกว่าหลายประเทศและต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ  

 

"บาทแข็ง"ดึงแบงก์ชาติขาดทุนปี 62 กว่า 3แสนล้าน

++

1.2 การตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศ (valuation) ขาดทุนสุทธิ 188.7 พันล้านบาท เป็นการขาดทุนทางบัญชีที่เกิดจากการตีราคาเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นเงินบาท ณ สิ้นปีปัจจุบันเทียบกับสิ้นปีก่อน เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นในปี 2562 เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล
1.3 การปรับสัดส่วนการลงทุน (portfolio investment) และอื่น ๆ ขาดทุนสุทธิ 126.4 พันล้านบาท 
เป็นการขาดทุนที่เกิดจากการซื้อขายตราสารเพื่อปรับการลงทุนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รวมถึงเพื่อกระจายความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยผลขาดทุนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากค่าเงินบาทโน้มแข็งค่าต่อเนื่องมาตลอด ทำให้สินทรัพย์ต่างประเทศที่ซื้อมาเมื่อหลายปีก่อนมีต้นทุนในรูปของเงินบาทสูงกว่าราคาขายสินทรัพย์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี ผลการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศในสกุลเงินต่างประเทศเป็นบวกและสูงกว่าอัตราผลตอบแทนอ้างอิง (benchmark return) นอกจากนี้ ในปี 2562 ธปท. ปรับวิธีการบันทึกบัญชีของตราสารอนุพันธ์ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานบัญชีใหม่ ทำให้เกิดผลขาดทุนประมาณ 70 พันล้านบาท

2. งบการเงินของบัญชีทุนสำรองเงินตราในปี 2562 
ในปี 2562 งบการเงินของบัญชีทุนสำรองเงินตรา ขาดทุนสุทธิ 89.3 พันล้านบาท ซึ่งเกิดจากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศในบัญชีทุนสำรองเงินตราเป็นเงินบาท ในขณะที่ผลตอบแทนจากการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศที่ใช้หนุนหลังธนบัตรเป็นบวกและสูงกว่าอัตราผลตอบแทนอ้างอิง (benchmark return) รายละเอียดดังต่อไปนี้ 
2.1 การดำเนินงานตามพันธกิจด้านการพิมพ์และนำธนบัตรออกใช้ มีรายรับดอกเบี้ยสุทธิ 29.1 พันล้านบาท จากการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศที่ใช้หนุนหลังธนบัตรได้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนอ้างอิง ขณะที่ต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรปรับลดลง 
2.2 การตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศ (valuation) ขาดทุนสุทธิ 126.7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการตีราคาเงินสำรองระหว่างประเทศในบัญชีทุนสำรองเงินตราให้อยู่ในสกุลเงินบาท เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากสิ้นปีก่อนเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล
2.3 การปรับสัดส่วนการลงทุน (portfolio investment) และอื่น ๆ กำไรสุทธิ 8.3 พันล้านบาท 
จากการซื้อขายหลักทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศเป็นสำคัญ 
สรุปภาพรวมบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และบัญชีทุนสำรองเงินตรา

"บาทแข็ง"ดึงแบงก์ชาติขาดทุนปี 62 กว่า 3แสนล้าน 3. ผลกระทบของการขาดทุนต่อการดำเนินพันธกิจของธนาคารกลาง 
ผลขาดทุนในปี 2562 ส่วนใหญ่เกิดจากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศให้อยู่ในสกุลเงินบาท ในขณะที่
การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะรักษามูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศให้เพียงพอไว้เป็นกันชนรองรับความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนโลก รักษาอำนาจซื้อในตลาดโลก (global purchasing power) ของระบบเศรษฐกิจ และเงินสำรองระหว่างประเทศให้มีสภาพคล่องเพียงพอพร้อมใช้ในกรณีที่จำเป็น รวมถึงหนุนหลังธนบัตรออกใช้ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับมูลค่าของเงินสำรองระหว่างประเทศในสกุลเงินต่างประเทศ มากกว่าการตีราคากลับมาเป็นสกุลเงินบาท

"บาทแข็ง"ดึงแบงก์ชาติขาดทุนปี 62 กว่า 3แสนล้าน

ผลการศึกษาทางวิชาการจากประสบการณ์ของธนาคารกลางหลากหลายประเทศชี้ว่า หากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางมีเหตุมีผลและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ผลขาดทุนของธนาคารกลางไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินงานตามพันธกิจของธนาคารกลาง โดยเฉพาะถ้าผลขาดทุนส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นจากการตีราคาตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในกรณีของ ธปท. แม้งบการเงินของปีที่ผ่านมารายงานผลการดำเนินงานขาดทุน แต่ ธปท. ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากตลาดการเงินและผู้ที่เกี่ยวข้องมาโดยต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของ
ปี 2563 ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลง 8.3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ ธปท. มีกำไรสุทธิสูงถึง 365 พันล้านบาท ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ธนาคารกลางของ ธปท. แต่อย่างใด