มติกกต.ยกทุกคำร้องกล่าวหา“สุภรณ์”คดีเลือกตั้งส.ส.โคราช

22 เม.ย. 2563 | 07:37 น.

มติกกต.ยกคำร้องกล่าวหา “สุภรณ์ อัตถาวงศ์" ขณะเลือกตั้งส.ส.เขต 10 โคราช ปมให้เมีย-หัวคะแนน จ่ายเงินผู้มีสิทธิเลือกตั้ง,ร้องตำรวจ-กกต.ได้เงินซื้อเสียงจากคู่แข่ง อ้างพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่ารู้เห็นสนับสนุนการกระทำของลูกน้อง 


วันนี้ (22 เม.ย.63) เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัยยกคำร้อง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้สมัครส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 10 จ.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 2 คำวินิจฉัย รวม 3 ข้อกล่าวหา คือ กรณีถูกกล่าวหาว่าวันที่ 24 มี.ค.62 ได้นัดหมายผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4 คน ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจครบุรี จ.นครราชสีมา ว่าได้รับเงินจากตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้ร้องจำนวนคนละ 500 บาท และได้ยื่นคำร้องเรื่องดังกล่าวต่อ กกต. เป็นการใส่ร้ายผู้ร้องด้วยความเท็จ แต่เนื่องจากการกระทำตามคำร้องเกิดขึ้น ภายหลังการลงคะแนนเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรค 1 (5)  

 

กรณีถูกกล่าวหาว่า วันที่ 24 มี.ค. 62 ให้ภรรยา และหัวคะแนนไปจ้างผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4 คนไปยื่นคำร้องกล่าวหาต่อ กกต.ว่าได้รับเงินจากตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้ร้องคนละ 500 บาท โดยจะได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวนคนละ 20,000 บาท 


จากการไต่สวนมีพยานที่ถูกอ้างว่า ได้รับเงินดังกล่าวให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรครบุรี และคณะกรรมการสืบสวนและสอบสวนว่าไม่เคยได้รับเงินหรือค่าจ้าง เพื่อให้ยื่นคำร้องกล่าวหาผู้ร้องต่อกกต.แต่อย่างใด 


ประกอบกับผู้ร้องไม่ได้พบเห็นเหตุการณ์ตามคำร้องด้วยตนเองเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่า จากบุคคลที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อและอ้างพยานบุคคลจำนวน 1 คน เป็นพยานฝ่ายผู้ร้อง โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงมีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือพยานหลักฐานจึงยังฟังไม่ได้ว่า นายสุภรณ์ กระทำการฝ่าฝืนตามข้อกล่าวหา

 


นอกจากนี้ ยังมีถูกกล่าวหาได้ให้ นายประยุทธ บัวประดิษฐ์หัวคะแนนนำเงินใส่ซองจำนวน 3 ซอง ซองละ 1,000 บาท แล้วให้กับ นายดี สิมตะมะ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นำไปเป็นหลักฐานในการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเสิงสาง จ.นครราชสีมาว่า ได้รับเงินซื้อเสียงดังกล่าวมาจาก ผู้ร้องเรียนกล่าวหา นายสุภรณ์ โดยจากการไต่สวน แม้ตอนแรกจะได้ความว่าผู้ร้องกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 62 นายสุภรณ์ ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายประยุทธ นำเงินซองดังกล่าวให้นายดี นำไปเป็นหลักฐานแจ้งความว่า ได้เงินดังกล่าวจากตัวแทน หรือหัวคะแนนของผู้ร้อง 

แต่ต่อมาวันที่ 3 พ.ค 62 และวันที่ 6 ธ.ค.62 นายดี ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่า ว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค.62 นายประยุทธ ได้มอบเงินจำนวน 3,000 บาท โดยบรรจุใส่ซอง ซองละ 1,000 บาท ให้แก่ตนเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า เป็นเงินที่ได้รับจากตัวแทน หรือหัวคะแนนของผู้ร้อง ซึ่งเป็นการวางแผนของนายประยุทธ เพื่อกลั่นแกล้งผู้ร้องไห้ได้รับโทษตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ผู้ร้องไม่เคยใช้ให้ตัวแทนหรือหัวคะแนนนำเงินมามอบให้กับนายดีแต่อย่างใด 


ประกอบกับในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประยุทธ เป็นจำเลยต่อศาลแขวงนครราชสีมา ในข้อหากระทำความผิดฐานทำพยานหลักฐานอั นเป็นเท็จเพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา เชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 179 

 

 

ซึ่ง นายประยุทธ ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเมื่อวันที่ 20 มี.ค.62 เวลากลางวัน นายประยุทธ ทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จโดยนำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 3,000 บาท ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเสิงสาง ว่าธนบัตรจำนวน 3,000 บาท ดังกล่าว เป็นเงินที่นายดี ได้รับมาจากการกระทำความผิดอาญาโดยการจูงใจซื้อเสียงเลือกตั้งอันเป็นพยานหลักฐานอันเป็นเท็จความจริงแล้วธนบัตรจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของนายประยุทธเอง


ศาลแขวงนครราชสีมาจึงมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 2593/ 2562 ว่า นายประยุทธ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 179 จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่า นายประยุทธ และนายดี ใส่ร้ายด้วยความเท็จและกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 เพื่อจะแจ้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งตามที่กล่าวหา


ส่วนกรณีนายสุภรณ์ มีพยานของผู้ร้องและพยานซึ่งเป็นผู้นำชุมชนใน ต.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า นายประยุทธ ได้ช่วยเหลือนายสุภรณ์ ในการหาเสียงเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งยังทำงานร่วมกันมาโดยตลอด แต่ไม่มีพยานคนใดยืนยันได้ว่านายสุภรณ์ ก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดดังกล่าวของนายประยุทธ และนายดี พยานหลักฐาน จึงยังรับฟังไม่ได้ว่านายสุภรณ์ ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรค 1 (5)  และมาตรา 143 แต่อย่างใดจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องในส่วนของนายสุภรณ์ และให้ดำเนินคดีอาญากับนายประยุทธและนายดี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรค 1 (5)ประกอบมาตรา 143 และมาตรา 159