มหาเศรษฐีกับนายกรัฐมนตรี (1)

22 เม.ย. 2563 | 06:38 น.

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฉบับ 3568 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 23-25 เม.ย.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี

 

          เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์และหลายสำนักข่าว เรื่องนายกรัฐมนตรีจะเทียบเชิญมหาเศรษฐีเมืองไทย มาปรึกษาขอความคิดเห็นและขอความร่วมมือในการแก้วิกฤติประเทศ อันเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 เรื่องนี้ถือเป็นข่าวที่ดีครับ 
          แต่วันนี้ผู้เขียนได้รับบทความชิ้นสำคัญ ที่เขียนและบันทึกไว้โดย คุณประมวล รุจนเสรี อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องราวระหว่างคนคนหนึ่งซึ่งเป็นทั้งมหาเศรษฐีและเป็นนายกรัฐมนตรี กับอีกคนหนึ่งที่เป็นเพียงมหาเศรษฐี ที่ไม่มีอำนาจทางการเมือง 
          เรื่องราวอันขมขื่น ที่แทบทำให้มหาเศรษฐีอีกคนหนึ่ง เกือบเป็นขอทานนี้ ได้ถูกเขียนและบันทึกไว้ โดยบุคคลสำคัญที่ยังมีลมหายใจ คอลัมน์นี้จึงต้องการให้ผู้อ่านได้รับทราบ และได้อ่าน เพื่อจะได้รู้ซึ้งและเห็นความจริงว่า คนที่เป็นเศรษฐี เป็นนักธุรกิจ เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อำนาจและผลประโยชน์มันช่างหอมหวาน ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง นักธุรกิจกับอำนาจทางการเมืองนั้น ควรจัดการความสัมพันธ์อย่างไร 
          จึงขอนำเอาบทความที่ท่านอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เขียนตัวท่านเอง มานำเสนอต่อผู้อ่านโดยมิได้ตัดตอนแต่อย่างใด อ่านแล้วคงอยู่ที่ดุลยพินิจผู้อ่านว่า นายกรัฐมนตรีแบบไหน ที่มหาเศรษฐีและนักธุรกิจ ควรคบเป็นมิตรที่ดีต่อกัน

 

จากแฟ้มของคุณประมวล รุจนเสรี 
(อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย)
สังคมผู้ใหญ่ 
เรื่อง : ธุรกิจทองแดงบริสุทธิ์ของคุณประยุทธ มหากิจศิริ

         

          ผมมีเรื่องสําคัญเรื่องหนึ่ง ที่ผมกล่าวว่าสําคัญนั้นเป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่คนเราเกิดมาทั่วไปนั้น ยากที่จะประสบพบเห็นได้ เพราะเป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาคนหนึ่งที่จะสามารถไต่เต้าไปสัมผัสและรับกับสถานการณ์นั้นๆ ได้

          การเกิดมาเป็นคนย่อมต้องมากับความรัก โลภ โกรธ และหลง ควบคู่กันไป ทําให้เกิดสังคมซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น แย่งอํานาจ แย่งความเป็นใหญ่ โดยในบางครั้งก็ไม่ได้คํานึงถึงความถูกต้องความชอบธรรมแต่ประการใด
          ที่ผมจะเขียนถึงต่อไปนี้ เป็นเรื่องสังคม เป็นเรื่องลับ ลวง พลางที่เกิดขึ้นจริง และผมสัมผัสได้กับตัวเอง และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะรัฐมนตรี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผมเพราะเป็นช่วงที่ผมดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นผมไม่มีสิทธิ์และผมยอมรับว่าไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หรือคัดค้าน ในเรื่องที่เกิดขึ้น ผมได้แต่เก็บข้อสงสัยและข้อกังขานี้มานาน และผมเห็นสมควรที่จะขยายความเพื่อเป็นข้อมูลความรู้ที่เราควรศึกษาเรียนรู้ในสังคมต่อไป
          ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นและยอมรับได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และเป็นเรื่องใหญ่ที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทําได้หรือยอมรับได้ และเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับเพื่อนรักของผมโดยตรง
          เพื่อนรักของผม ณ ที่นี้คือ คุณประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ และ เจ้าของธุรกิจระดับหมื่นล้านหลายแห่ง ผมรู้จักกับ คุณประยุทธ มาตั้งแต่ปี 2543 ในฐานะต่างก็เป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ คุณทักษิณ ชินวัตร เชิญเข้ามาร่วมก่อตั้งและบริหารพรรค ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
          ผมมาในฐานะอดีตข้าราชการที่มีประสบการณ์ทางด้านบริหารและการปกครอง ส่วน คุณประยุทธ มาในฐานะเจ้าของธุรกิจหมื่นล้าน เป็นผู้มีฐานะระดับมหาเศรษฐีลําดับต้นๆ ของเมืองไทย
          เราทั้งสองสนิทสนมกันทั้งที่พื้นฐานของชีวิตแตกต่างกัน ด้วยการเล่นกีฬากอล์ฟด้วยกัน ตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันปี 2563
          ระหว่างอยู่ในตําแหน่งรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เราทั้งสองต่างก็เรียนรู้ ลักษณะนิสัย ความประพฤติปฏิบัติ การคิดการทํางานซึ่งกันและกัน ผมยอมรับว่า คุณประยุทธ เป็นคนไม่ค่อยตอบโต้ ยอมถอยมากกว่าจะปะทะแบบปะฉะดะ แต่ คุณประยุทธ ก็เป็นที่ปรารถนาของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ต้องการจะให้เข้าไปเป็นมหาทุนของพรรค รวมทั้ง คุณทักษิณ ชินวัตรด้วย
          ผมมาสังเกตในภายหลังเองว่า คุณทักษิณ พยายามจะรั้งผูกมัดทั้งตัวคุณ ประยุทธ และ ลูกชายของคุณประยุทธ (เฉลิมชัย (กึ้ง) มหากิจศิริ) ไม่ให้หลุดมือไปอยู่กับพรรคการเมืองอื่น ต้องการเก็บไว้ใกล้ตัวเพื่อไม่ให้ไปเป็นกําลังทางเศรษฐกิจให้แก่พรรคใดๆ
          โดยที่ คุณทักษิณ ก็ไม่เคยส่งเสริมสนับสนุนทางด้านธุรกิจใดๆ ของคุณประยุทธ เลย ตรงกันข้ามกับสกัดกั้นความเจริญเติบโตทางธุรกิจทองแดงบริสุทธิ์ที่คุณประยุทธ ดําเนินการอยู่เสียด้วยซ้ำ

          เรื่องมีอยู่ว่า คุณประยุทธ ได้ไปสร้างโรงงานถลุงทองแดงบริสุทธิ์ที่จังหวัดระยอง โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายรัฐบาล
          คุณประยุทธได้ขอให้รัฐบาลขึ้นภาษีนําเข้าทองแดงบริสุทธิ์จากต่างประเทศ จาก 1% เป็น 10% เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมการผลิตทองแดงบริสุทธิ์ภายในประเทศ ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ให้สัญญาไว้ เพื่อไม่ให้แลดูน่าเกลียดว่าเป็นการช่วยเหลืออุตสาหกรรมทองแดงบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งอยู่ในข่ายพรรคพวกตัวเอง จึงมีการพ่วงขึ้นภาษีอุตสาหกรรมดีบุกของผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ควรขึ้นภาษีนี้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่เกิดมาก่อนแล้วเกือบ 30 ปี
          เรื่องขึ้นภาษีนี้ได้ผ่านการศึกษาจากกระทรวงการคลังมาแล้ว และได้นําเสนอ เข้า ครม. เพื่ออนุมัติ และทางครม.ก็ได้อนุมัติการขึ้นภาษีตามที่เสนอ จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาวาระถัดไปจนเสร็จ
          ขณะที่ที่ประชุมจะพิจารณาวาระถัดไป ก็มีผู้มีบารมีไปกระซิบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอย้อนไป ขอถอนเรื่องเฉพาะการขึ้นภาษีทองแดงบริสุทธิ์ออกไปก่อน เพื่อไปพิจารณาทบทวนใหม่เพียงเรื่องเดียว ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เสนอมาพร้อมกันในวาระเดียวกันให้อนุมัติผ่านได้ ส่วนเรื่องขึ้นภาษีทองแดงบริสุทธิ์ของคุณประยุทธ ก็ล่องลอย หายเข้ากลีบเมฆไปเลย
          ผมได้พบกับ คุณประยุทธ และได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุม ครม. ตามที่กล่าวมาแล้วให้คุณประยุทธ ทราบ เมื่อ คุณประยุทธ ได้ฟังแล้ว ก็นั่งอึ้งไปสักพัก และได้แต่ยิ้มฝืดๆ ยอมรับในวิบากกรรมที่เกิดขึ้น

          (ติดตามอ่านต่อตอนหน้า)