“สมคิด”เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถกช่วยเอสเอ็มอีวันนี้

22 เม.ย. 2563 | 00:55 น.

รองนายกรัฐมนตรีเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าหารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีในสถานการณ์ไวรัสโควิด -19 ที่กระทรวงอุตสาหกรรม

รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (21 เม.ย.63) เวลา 10.00 น.นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์   รองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง  กระทรวงพลังงาน  สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมห่งชาติ  (สศช.) ,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,สมาพันธ์เอสเอ็มอี และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขยาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)  เป็นต้น เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ที่กระทรวงอุตสาหกรรม

“สมคิด”เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถกช่วยเอสเอ็มอีวันนี้

                นายสุพันธ์ุ  มงคลสุธี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การหารือวันนี้น่าจะเป็นการติดตามความคืบหน้าของมาตรการที่คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาคเอกชน ได้แก่ ส.อ.ท. ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,สมาคมธนาคารไทย ,สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ,สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ,สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ,สภาเกษตรกรแห่งชาติ ,สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ ได้นำเสนอต่อที่ประชุมสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งล่าสุดที่ผ่านมาว่าจะสามารถเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร

                “คงยังไม่มีข้อเสนออะไรเพิ่มเติม  เพราะเพิ่งนำเสนอเข้าไป  ขอเพียงแค่ทำตามข้อเสนอเดิมให้ได้ก่อนก็น่าจะดีมากแล้วในเวลานี้”

สำหรับข้อเสนอล่าสุดในการประชุมครั้งที่ 2 ของคณะที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจฯ เสนอประกอบด้วย 1.ข้อเสนอมาตรการเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้แก่ (1) มาตรการด้านประกันสังคม/กองทุน/แรงงาน เช่น ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน (2) มาตรการด้านภาษี เช่น ให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19 (3) มาตรการด้านสาธารณูปโภค/ที่ดิน เช่น ขอเลื่อนการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ ออกไป 4 เดือน (4) มาตรการด้านการเงิน เช่น สินเชื่อที่รัฐให้เพิ่มสภาพคล่อง ขอให้ บสย. ค้ำประกันวงเงินกู้เพิ่มเป็น 80% (5) มาตรการด้านอื่น ๆ เช่น  ให้รัฐจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ (Made-in-Thailand) ซึ่งเอกชนต้องหารือในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทย

“สมคิด”เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถกช่วยเอสเอ็มอีวันนี้

                2.ข้อเสนอมาตรการเพื่อการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ ได้แก่ (1) มาตรการในการปรับพฤติกรรมของประชาชน โดยมีการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติของประชาชนและสถานที่ให้บริการ (2) แนวทางพิจารณาการเปิดดำเนินการธุรกิจตามความเสี่ยงของสถานประกอบการและพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อาทิ สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำอาจพิจารณาเปิดให้บริการได้ตามมาตรการที่กำหนด ขณะที่สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง และอยู่ในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงจะไม่พิจารณาเปิดให้บริการ (3) กระบวนการอนุญาตและติดตาม อาทิ การลงทะเบียนสำหรับสถานประกอบการ การติดตามตรวจสอบโดยภาครัฐระดับท้องถิ่นและจังหวัด การรายงานของภาคประชาชนผ่านแอพลิเคชันไลน์ (4) การพิจารณาระยะเวลาดำเนินการ โดยเป็นการทดลองเปิดในจังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำและขยายผลไปสู่จังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางต่อไป (5) การสื่อสาร โดยภาครัฐจัดทำแผนการสื่อสารไปสู่ประชาชนและสถานประกอบการให้รับทราบถึงข้อปฏิบัติและแนวทางในการดำเนินการ (6) คณะทำงานร่วมในการดำเนินการ ประกอบด้วยภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคสังคมและวิชาการซึ่งเอกชนจะต้องไปหารือในรายละเอียดกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข

3.ข้อเสนอมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาด้วยดิจิทัล (Digital Solution) ได้แก่ (1) ควบคุม ป้องกัน และรักษา เช่น การจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (2) ความต่อเนื่องธุรกิจ เช่น แก้กฎหมายเพื่อรองรับการจัด E-Gov Digital ID (3) การจ้างงานและพัฒนาคน มาตรการสนับสนุนผู้จนการศึกษาใหม่ คนว่างงาน และรักษาการจ้างงานในปัจจุบัน (4) ความมั่นใจตลาดเงินและทุน เช่น การเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ และการช่วยเหลือ Digital Startup, SME (5) เศรษฐกิจใหม่ เช่น Smart farming และ E-commerce (6) โครงสร้างขันเคลื่อนยามวิกฤต เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการขับเคลื่อนพิเศษในสถานการณ์ฉุกเฉิน

                4.ข้อเสนอมาตรการเพื่อภาคเกษตร ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น ได้แก่ (1) การเยียวยาให้กับเกษตรกร ครัวเรือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน (2) การพักหนี้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการ ระยะเวลา 1 ปี (3) การปรับโครงสร้างหนี้และขยายเวลาชำระหนี้จากการเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร (4) การจัดให้มีช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ (5) การสนับสนุนและจัดระบบการขนส่งผลผลิตการเกษตร (6) การส่งออกผ่านพรหมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และ (7) การใช้ Big Data ในการติดตามสถานการณ์ภาคเกษตร มาตรการระยาว ซึ่งจะต้องหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกครั้ง ได้แก่ (1) การปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ่านกองทุนร่วมทุนเกษตรกร 50,000 ล้านบาท (2) การพัฒนานักธุรกิจเกษตรอัจฉริยะ และ (3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตผ่านกลไกการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม

                5.ข้อเสนอมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) แนวทางในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากมาตรการสินเชื่อใหม่วงเงิน 500,000 ล้านบาท สำหรับภาคธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ (1) สถาบันการเงินจะกระจายวงเงินให้ลูกหนี้ทุกระดับของ SMEs ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ กระจายวงเงินครอบคลุม ทุกอุตสาหกรรม  ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และการให้วงเงิน ไม่จำกัดเฉพาะลูกหนี้ชั้นดีของสถาบันการเงินเท่านั้น (2) ผ่อนปรนเงื่อนไขและแนวทางการพิจารณาวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ (Soft Loan) ของ ธปท. ให้กระจายไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม (3) เพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันส่วนสูญเสียจากเดิมแก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

                อย่างไรก็ตามข้อเสนอทั้ง 5 กลุ่ม มีหลายมาตรการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานของหน่วยงานและสามารถดำเนินการได้ทันที หลายมาตรการยังไม่ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอีกส่วนหนึ่งเป็นมาตรการระยะยาว ดังนั้น เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม จึงได้แบ่งมาตรการเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มมาตรการที่ทำได้ทันที เช่น การเยียวยาเกษตรกร การอนุญาตให้ปรับการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้  (2) กลุ่มต้องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน การให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19 และการขอขยายสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐออกไป 4 เดือน จังหวัดและธุรกิจที่มีความเสี่ยงระดับต่ำถึงปานกลางจะทดลองนำร่อง (Sandbox) เป็นต้น (3) กลุ่มมาตรการระยะยาว เช่น การแก้กฎหมายเพื่อรองรับการจัด E-Gov การจัดตั้ง “กองทุนร่วมทุนเกษตรกร” 50,000 ล้านบาท