วันนี้(21เม.ย.63) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงการผ่อนปรนมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า
วันนี้แม้สถานการณ์ดีขึ้น สถิติผู้ติดเชื้อลดลงตามลำดับมาหลายวันแล้วแต่ต้องดูต่อ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป อย่าเพิ่งผลีผลาม ซึ่งหลายคนเรียกร้องให้ปลดนู้นปลดนี่ ในเวลานี้ แต่ผมคิดว่าต้องระมัดระวังอย่างที่สุด และฟังข้อมูลด้านสาธารณสุขและแพทย์ด้วย รวมถึงมาตรการรองรับเพียงพอแล้วหรือไม่
“ผมไม่ต้องการให้การตัดสินใจด้วยแรงกดดันหลายอย่าง แต่อยากให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ถ้าเริ่มหรือปลดเร็วเกินไป สิ่งที่ตามมาหากแพร่ระบาดขึ้นอีกสิ่งที่ทำมาทั้งหมดด้วยระยะเวลานานล้มเหลวแล้วจะทำอย่างไรเป็นสิ่งที่ตนต้องดูแลเป็นพิเศษ”
สำหรับการต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่นั้น จะมีการพิจารณาอีกครั้งในวันอังคารที่ 28 เม.ย.นี้ แต่ย้ำว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความร่วมมือและสถิติจากสาธารณสุขเป็นตัวชี้วัด รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการ วันนี้กำชับในการใช้ดุลยพินิจเรื่องการขนส่งสินค้าของภาคประชาชน ซึ่งที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนก็ไม่สามารถดำเนินการและอาจยังไม่เข้าใจกัน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามวันนี้ตัวเลขการละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินยังมีอยู่ จำนวนยังมากและยังไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงขอให้ทุกคนร่วมมือกับรัฐบาล
จะเห็นว่าตัวเลขต่างๆ ที่มันลดลงไปแล้วไม่ว่า ผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดลงหรือผู้ที่รักษาหายมากขึ้น เกิดจากพวกเราทุกคนร่วมมือกัน ไม่ใช่รัฐอย่างเดียว ถ้าประชาชนร่วมมือกันมากมันก็ลดลงได้มาก เรื่องการผ่อนปรนก็จะมากขึ้นในอนาคต
“ดังนั้นที่สั่งการไปผมไม่เคยประกาศว่าจะเลิกวันที่ 1 พ.ค.หรือวันที่อะไรต่างๆ ผมไม่เคยพูด เพราะต้องดูสถติติให้มีความรอบคอบ รวมถึงการผ่อนปรนอะไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องเสนอมาตรการของตัวเองขึ้นมาให้รับทราบว่าจะทำอะไรได้บ้าง เช่นการเตรียมการเรื่องสถานที่ เจ้าหน้าที่ต้องปลอดภัย มีการตรวจโรคตรวจเชื้อให้รัดกุม มีการเว้นระยะห่าง กำหนดจำนวนคน และการจัดพื้นที่ มันต้องทยอยเปิดเป็นบางส่วนในระยะต่อไป แต่ผมยังไม่บอกว่าจะเมื่อไหร่ ท่านก็เตรียมความพร้อมของท่านแล้วเสนอมาให้ทราบในส่วนที่ ต้องการจะเปิดแต่บางอย่างถ้าพิจารณาแล้วยังไม่เหมาะสมก็ไม่เปิด"
ผมทราบดีว่าทุกคนเดือดร้อนแต่สิ่งที่เดือดร้อนมากกว่านั้นคือด้านสุขภาพ ถ้ามีการบาดเจ็บสูญเสียล้มตายกันมากกว่านี้แล้วจะทำอย่างไร สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดถ้าทำอะไรเร็วเกินไปมีแรงกดดันสูง โดยไม่ใช่สาระสำคัญมากนัก แต่เป็นการระดมให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลหรือให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย จะทำให้สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดสูญเสียเป็นศูนย์ทันทีและไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน ถึงจะมีมาตรการออกมาได้
จึงขอให้ทุกคนรับทราบด้วย ยืนยันว่ารัฐบาลมีวัตถุประสงค์ ว่าทำอย่างไรจะดูแลประชาชนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตนี้ให้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนต้องดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงในช่วงนี้ ย้ำว่าผมเห็นใจและมีหลายมาตรการออกมารวมถึงการกู้เงินต่างๆ แทบจะครอบคลุมอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้มองในแง่มีเงินเยียวยาอย่างเดียว ขอให้ติดตามในเรื่องอื่นๆด้วยว่ารัฐบาลดูแลอะไรไปแล้วบ้าง อย่ามองว่าแค่นี้น้อยเกินไปหรือไม่ แต่ต้องเห็นใจด้วยว่าเรามีเงินเท่าไร กู้เงินได้เท่าไรและจะใช้อย่างไร ซึ่งภาระวันหน้าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องคิดอย่างรอบคอบ