สั่งฟ้องหน้ากากอนามัยรีไซเคิล

20 เม.ย. 2563 | 11:08 น.

อัยการสระบุรี สั่งฟ้อง 3 ผู้ต้องหาที่นำหน้ากากอนามัยใช้แล้วมารีไซเคิล 

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า นายธรรมภณ  จิรธรรมประดับ อัยการจังหวัดสระบุรี ได้ยื่นฟ้อง นางสาวจินตนา  นามวิชัย ที่ 1 นางสาวพิมพ์วรัญช์ จำรัสศรี ที่ 2 และนางสาววีราภรณ์ ธงสันเทียะ ที่ 3 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันทุจริตโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , 343 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มาตรา 32 , 37 ,71 และ พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 

 

คดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563  ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ประชาชน ตื่นตัวและมีความต้องการหน้ากากอนามัย หรือแมสก์ เป็นจำนวนมาก จำเลยทั้ง 3 ได้ถือโอกาสที่ประชาชนมีความเดือดร้อน ดังกล่าว ไปจัดหาหน้ากากอนามัยซึ่งมีคนใช้แล้ว และมีการนำไปทิ้งกลับมาซักและนำออกขาย ถือว่าเป็นการกระทำที่กระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและสังคมเป็นอย่างมาก โดยเหตุเกิดในท้องที่อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี 

คดีนี้ถือว่าเป็นคดีสำคัญที่ประชาชน ตลอดจนสื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างต่อเนื่อง และนายธรรมภณ จิรธรรมประดับ อัยการจังหวัดสระบุรี ได้รายงานคดีสำคัญให้นายวงศ์สกุล  กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดทราบ โดยอัยการสูงสุดได้กำชับให้ดำเนินคดีนี้อย่างรอบคอบ รวดเร็ว และเฉียบขาด พร้อมกับขอให้ศาลใช้มาตรการทางกฎหมายทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการกระทำความผิดในทำนองนี้อีก

 

โดยอัยการจังหวัดสระบุรี ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวน และมอบหมายให้นายอักรินทร์ วินทะไชย อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงานและเจ้าของสำนวน นางสาวอัยยรัตน์  ลังกาพินธุ์ อัยการจังหวัดผู้ช่วย และเรือเอก ประกฤติ แสงอาวุธ อัยการจังหวัดผู้ช่วย เป็นคณะทำงาน

 

ทั้งนี้ นายธรรมภณ  จิรธรรมประดับ อัยการจังหวัดสระบุรี ยังได้บรรยายในสำนวนฟ้องด้วยว่า เนื่องจากจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดโดยการนำหน้ากากอนามัยเก่าที่ผ่านการใช้งานแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งของที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและต้องมีการควบคุมการผลิตและจำหน่ายให้ได้มาตรฐานทางการสาธารณสุข เพื่อไม่ให้ก่อเกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนมาหลอกเสนอขาย ว่าเป็นหน้ากากอนามัยที่มีสภาพใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ทั้งเป็นการกระทำในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ซึ่งมีการขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างมาก 

 

"การหลอกขายหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้คุณภาพดังกล่าวของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นการซ้ำเติมประชาชนผู้ที่ได้ผลกระทบจากสภาวการณ์ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม มุ่งหวังเพียงประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพอนามัยของประชาชนส่วนรวมของประเทศว่าจะได้รับผลกระทบต่อสุภาพอนามัย เนื่องจากการใช้หน้ากากอนามัยที่ไม่มีคุณภาพของจำเลยทั้งสาม หรือไม่อย่างไร อันเป็นพฤติการณ์ร้ายแรงที่ศาลควรลงโทษสถานหนักแก่จำเลยทั้งสาม จึงขอให้ศาลลงโทษสถานหนักแก่จำเลยทั้งสามด้วย" 

นายประยุทธ กล่าวทิ้งท้ายว่า ส่วนผลคืบหน้าเป็นประการใด สำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไป