ทีเอ็มบี โชว์กำไรไตรมาสแรกโต 2 เท่า

20 เม.ย. 2563 | 08:41 น.

ทีเอ็มบี แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิ 4,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังรับรู้รายได้จากธนาคารธนชาตเข้ามาเต็มไตรมาส

นายปิติ  ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการโดยเฉพาะจากด้านงบดุล (Balance Sheet Synergy) และด้านต้นทุน (Cost Synergy) ขณที่ขั้นตอนการรวมกิจการคืบหน้าตามแผน โดยธนาคารทำข้อตกลงร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านประกันชีวิตกับ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) แล้ว ส่วนการทยอยโอนย้ายลูกค้าและเปิดสาขาร่วมระหว่างทีเอ็มบีและธนาคารธนชาต  ก็เริ่มทำไปแล้วเช่นกัน

ทีเอ็มบี โชว์กำไรไตรมาสแรกโต 2 เท่า

“หลังการรวมกันได้เริ่มปรับโครงสร้างงบดุลใหม่ในทันที โดยได้ปรับโครงสร้างเงินฝาก โดยลดสัดส่วนเงินฝากประจำและแทนที่ด้วยเงินฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เงินฝาก All Free และเงินฝาก No Fixed ซึ่งในไตรมาส 1 ก็ทำได้ตามเป้าหมายและทำให้ยอดเงินฝากรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า”

ขณะที่ด้านสินเชื่ออยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารที่เน้นเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ทำให้ในปัจจุบันกว่า 90% ของพอร์ตสินเชื่อรายย่อยเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน

การปรับโครงสร้างดังกล่าว ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ด้านงบดุล โดย สะท้อนจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยหรือ NIM ปรับขึ้นมาอยู่ 3.12% เทียบกับ 2.69% ในไตรมาส 4/2562 และ 2.89% ในไตรมาส 1/2562 ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 14,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากไตรมาสก่อน(QoQ) และ 125% จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว (YoY) เมื่อรวมกับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย 4,182 ล้านบาท (+15% QoQ, +83% YoY) ทำให้ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 18,195 ล้านบาท (+55% QoQ, +114% YoY)

ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8,331 ล้านบาท (+26% QoQ, +76% YoY) โดยธนาคารเริ่มรับรู้ผลประโยชน์ด้านต้นทุนแล้วเช่นกัน เนื่องจากสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ทับซ้อนกันลงได้ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และค่าใช้จ่ายด้านระบบไอที ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 46% เทียบกับ 51-55% ก่อนการรวมกิจการ โดยมองว่าใน ปีนี้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 48-50%

“จากการรับรู้ประโยชน์จาก synergy ทั้งสองส่วน ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 9,862 ล้านบาท (+91% QoQ, +160% YoY) โดยธนาคารตั้งสำรองฯ 4,760 ล้านบาท เพื่อดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบและบริหารหนี้เสียให้อยู่ในระดับต่ำผ่านการ write off และการขาย ทั้งนี้ ยอดหนี้เสียตามการจัดชั้นสินเชื่อตามมาตรฐานบัญชีแบบใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 44,183 ล้านบาท หรือคิดเป็น  2.76% ของสินเชื่อรวม ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.80%”

 

อย่างไรก็ตาม หลังหักสำรองฯและภาษี กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% จากไตรมาสก่อน และ 164% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ด้านความเพียงพอของเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วน CAR และ Tier I กรอบประมาณการณ์เบื้องต้นอยู่ที่ 18.8% และ 14.5% ซึ่งยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ Basel III และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ”

 “สำหรับไตรมาสถัดๆ ไป ธนาคารก็จะเดินหน้าตามแผนรวมกิจการเพื่อให้การรวมธนาคารที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2564 เป็นไปอย่างราบรื่น ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือการดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่งในขณะนี้