ทรัมป์หั่น เกตส์ให้

16 เม.ย. 2563 | 10:18 น.

มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ประกาศวานนี้ ( 15 เม.ย. 63 ) ว่าบริจาคเงินเพิ่มอีก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 4,800 ล้านบาท หลังจากที่เพิ่งบริจาคไป 100 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาวิธีการรักษาและวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทรัมป์หั่น เกตส์ให้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันอังคาร (14 เม.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศระงับการให้เงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลก หรือ WHO วงเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า WHO เป็นหน่วยงานในสังกัดขององค์การสหประชาชาติ ที่ประสบความล้มเหลวในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทรัมป์กล่าวหาว่า WHO ไม่เคยให้คำแนะนำที่ถูกต้องในการรับมือกับการแพร่ระบาด อีกทั้งยังเชื่อข้อมูลจากจีนมากเกินไปจนทำให้เกิดความผิดพลาด ซ้ำยังไม่เห็นด้วยกับมาตรการของสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯเป็นผู้บริจาคอันดับ1 ของ WHO

ด้านนายบิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง “มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์” กับนางเมลินดา ภรรยาของเขา โดยทั้งสองเป็นประธานมูลนิธิร่วมกัน ได้ออกโรงปกป้อง WHO โดยเขาเห็นว่า  การตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สั่งระงับการจ่ายเงินสนับสนุนให้กับ WHO ในช่วงที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับเป็นเรื่องที่อันตรายและเหลวไหล เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติด้านสาธารณสุขที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 และต้องการการร่วมแรงร่วมใจกันทั่วทั้งโลก

ทรัมป์หั่น เกตส์ให้

"การระงับเงินสนับสนุน WHO ในช่วงเวลาที่กำลังเกิดวิกฤติเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ความพยายามของWHOได้ช่วยชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 และหาก WHO ต้องหยุดดำเนินงาน ก็จะไม่มีองค์กรใดมาทดแทนได้" เกตส์โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว

 

สื่อต่างประเทศระบุว่า มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ เป็นผู้ให้เงินสนับสนุน WHO มากเป็นอันดับ 2 รองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

นางเมลินดา ภรรยาของเกตส์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ทางมูลนิธิกำลังสนับสนุนเงินให้แก่ 8 โครงการเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการพัฒนาวัคซีนและการต่อสู้กับโรคนี้ในประเทศจีนด้วย เธอยอมรับว่า หากสหรัฐฯตัดงบสนับสนุน WHO จริงๆ ก็ยากที่จะมีใครมาเติมเต็มงบส่วนที่หายไปแทนได้

 

ทั้งนี้ สหรัฐเป็นผู้สนับสนุนเงินให้แก่ WHO รายใหญ่ที่สุด คือกว่า 400 ล้านดอลลาร์ฯ (กว่า 13,000 ล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา (2562) คิดเป็นราวๆ 15% ของงบประมาณทั้งหมดขององค์กรนี้