เมื่อเศรษฐกิจเมียนมา "พลอยฟ้า พลอยฝน" ติดโควิด-19

13 เม.ย. 2563 | 03:31 น.

หลังจากเจ้าวายร้าย COVID19 ออกอาละวาดไปทั่วทั้งโลก  ซึ่งมันไม่เลือกว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้ว อย่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิตาลี สเปน หรือประเทศที่กำลังพัฒนาอีกหลายๆประเทศ ที่สำคัญที่น่าสงสารที่สุดคือประเทศด้อยพัฒนานี่แหละครับ ที่พลอยฟ้าพลอยฝนไปกับเขาด้วย เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว เขามีตังค์ มีทรัพยากร มีสาธารณสุขพื้นฐาน

ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนา อะไรก็ไม่เทียบเคียงเขาได้เลย จึงน่าสงสารมาก ประเทศเมียนมาเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ผมจะนำมาเล่าให้อ่านกันนะครับ

ก่อนที่สถานการณ์จะเกิด COVID19 ประเทศเมียนมากำลังเปิดประเทศมาได้ไม่กี่ปี และกำลังเร่งทำการปรับปรุงประเทศกันขนานใหญ่ ตั้งแต่ที่ได้เริ่มมีการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ส่วนการเลือกตั้งสมัยแรก ที่ท่านประธานาธิบดีเต็ง เซ่ง ขึ้นครองอำนาจนั้น ผมยังไม่อยากจะนับว่าเริ่มเป็นประชาธิปไตย แต่ท่านก็ถือว่าเป็นประธานาธิบดี ที่สร้างคณูปการให้กับประเทศเมียนมาอย่างน่าชื่นชมทีเดียว เพราะท่านได้วางรากฐานการพัฒนาประเทศไว้อย่างเป็นระบบ

ตั้งแต่การยกเลิกค่าเงินสองค่า คือตลาดมืดมีค่า 1 US$ ต่อ 800กว่าจ๊าด กับตลาดทางการ 1 US$ ต่อ 6.5 จ๊าด ให้มาใช้ค่าเดียวคือเริ่มต้นครั้งแรกเมือวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2012 ให้ใช้อัตราที่ 1 US$ต่อ 820 จ๊าดทั้งประเทศ อีกทั้งยังวางระบบกฏหมายที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาดำเนินกิจการในเมียนมาอย่างอิสระเสรีมากขึ้น โดยอนุญาตได้บางกลุ่มธุรกิจที่สามารถถือหุ้นได้ 100 %

อีกทั้งยังได้สร้างถนนหนทาง ระบบการเดินรถ การนำเข้ารถยนต์ ดำเนินการสานต่อการสร้างท่าเรือที่ได้มาตรฐานที่นิคมอุตสาหกรรมติลาว่า สร้างอาคารผู้โดยสารสนามบินแมงกะล่าดองที่ทันสมัย สร้างท่ารถขนส่งโดยสารที่มีระบบมากขึ้น และอีกหลากหลายโครงการ ที่ทำให้ประเทศเมียนมาได้ก้าวออกมาจากหลังม่านดำ ได้อย่างน่าชื่นชม  

ส่วนการเลือกตั้งสมัยที่ 2 พรรค NLD ของท่านอ่อง ซาน ซูจี  ชนะการเลือกตั้งและเข้ามาบริหารประเทศต่อจากสมัยแรก โดยมีประธานาธิบดี อู ถิ่น จ่อ เข้ามาบริหารประเทศในต้นสมัย ต่อมาท่านอู ถิ่น จ่อ สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย จึงลงจากตำแหน่งเร็วกว่าปกติ คือดำรงค์ตำแหน่งได้ไม่ถึงสามปี ต่อมาทางพรรค NLD ได้ส่งท่านประธานาธิบดี อู วิน เมี่ยน ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งต่อจากท่านอู ถิ่น จ่อ สมัยท่านอู ถิ่นจ่อ ก็ถือว่าพรรค NLD ได้เร่งสร้างผลงานแล้ว

แต่ต่อมา ท่านอู วิน เมี่ยนยิ่งเร่งวางรากฐานมากยิ่งขึ้นครับ นี่คือช่วงก่อนที่เจ้าตัววายร้าย COVID19 จะเริ่มอาละวาดนะครับ น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเรียกว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าประเทศเมียนมาจะเป็นประเทศที่มีความเจริญน้องๆประเทศเพื่อนบ้านเลยทีเดียวครับ        

ในส่วนของการวางระบบกฏหมายนั้น ในปีค.ศ. 2018 เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงกฏหมายมากที่สุด เพราะเริ่มเปลี่ยนแปลงกฏหมายต่างๆมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2012 แล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไหร่ เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป จะทำให้ประชาชนในประเทศเปลี่ยนแปลงปรับตัวไม่ทัน อาจจะเกิดปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางฐานะทางการเงิน ความเสมอภาคของคนรวยคนจนก็จะเริ่มห่างมากขึ้น

ดังนั้นจึงค่อยๆเปลี่ยนแปลง อีกประการหนึ่งคือการศึกษาของประชาชนคนเมืองกับคนท้องถิ่นต่างจังหวัด มันห่างกันมากเหลือเกิน แต่พอเข้าสู่โหมดของการเจริญทางวัตถุและความพร้อมของประชาชน ในปี ค.ศ. 2016 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงกฏหมายเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศทันที ต่อเนื่องมาจนกระทั้งปี ค.ศ. 2018 จึงทำให้เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงด้านกฏหมายมากที่สุด

ทั้งกฏหมายการลงทุนจากต่างประเทศ FDI ( Foreign Direct Investment ) กฏหมายศุลกากร กฏหมายภาษีรัษฎากร กฏหมายลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า  กฏหมายแพ่งและพานิชย์ เป็นต้น ทำให้การค้า-การลงทุนค่อนข้างจะเป็นระบบมากขึ้น โดยที่เพื่อนๆนักลงทุนจากประเทศไทยที่เคยเข้าไปทำธุรกิจที่นั่นมาก่อน และเคยได้รับบทเรียนหมดเนื้อหมดตัวมาเยอะ ต่างไม่เชื่อถือเมียนมา ต่างคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน

พอการวางรากฐานเตรียมความพร้อมด้านต่างๆเสร็จ ทางท่านอ่อง ซาน ซูจี ก็เริ่มเดินสายหาคู่พันธมิตรจากต่างประเทศ ซึ่งก็มีหลากหลายประเทศเข้ามาสนใจในสาวน้อยเมียนมาอย่างยิ่ง จะสังเกตุได้จากตลาดการค้า-การลงทุนเริ่มคึกคักขึ้นมากทีเดียว มีทั้งพี่ใหญ่สุดคือประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย (จะมีแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆทั้งนั้น) ที่เข้ามาลงทุนในเมียนมา

ทางเมียนมาเองก็ได้เริ่มมองไกลไปถึงการที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ยุคแรกๆ เมื่อ70-80 ปีก่อน ประเทศพม่า (ชื่อในอดีต)ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคพื้นนี้ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่โหมดของการทะเลาะเบาะแว้งกันภายใน ทำให้ชาติตะวันตกเข้ามาครอบงำ และวางแผนระยะยาวไว้ จึงทำให้มีการปฏิวัติรัฐประหารกันหลายรอบ จึงถูกบอยคอตจากนานาชาติ เมียนมาก็เลยตกต่ำมานาน ดังนั้นพอพรรค NLD ของท่านอ่อง ซาน ซูจี เข้ามาก็จึงเร่งที่จะทำให้เมียนมาทัดเทียมต่างประเทศนั่นเอง

หน้ากระดาษหมดแล้วครับ ครั้งต่อไปผมจะนำท่านมาดูว่าเมื่อเจ้าวายร้าย COVID19 เข้ามาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะเป็นการคาดเดาเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดบ้าง แต่ก็อยากให้ท่านอ่านและนำไปวิเคราะห์ต่อนะครับ เราไม่อยากให้ประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรามีปัญหา อย่างที่ทางประเทศเมียนมาเคยประสบมา เราควรเข้าใจถึงทุกๆกรณีจะได้ช่วยๆกันระแวดระวังครับ