ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ ตลาดการเงินและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ระบุว่า ในช่วงวันทำการก่อน หุ้นทั่วโลกอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) โดยดัชนี S&P500 ของสหรัฐปรับตัวบวกขึ้น 1.4% ขณะที่ Euro Stoxx 600 ปรับตัวขึ้น 1.6% จากแรงหนุนของนโยบายการเงินและการครั้งที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้านี้ราคาน้ำมันดิบ กลับปรับตัวขึ้นได้ไม่นาน แม้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ (OPEC+) สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อร่วมกันลดกำลังการผลิตได้จริง แต่กลับมีความกังวลเรื่องการใช้น้ำมันที่จะหายไปในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้ากลับมากดดันให้ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวกลับมาอยู่ที่เดิมที่ระดับ 22.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำหรับในสัปดาห์นี้ ประเด็นที่ต้องติดตาม คือทิศทางของนโยบายการเงินและการคลังที่น่าจะมีออกมาเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาไวรัสระบาด ขณะเดียวกันก็จะมีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจขององค์การการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ในวันอังคาร และตลอดสัปดาห์ก็จะมีการประกาศผลกำไรช่วงไตรมาสที่หนึ่งของกลุ่มธนาคารสหรัฐรวมไปจนถึงบริษัทใหญ่ทั่วโลกที่จะต้องรายงานกำไรและปรับประมาณการรายได้ในปีนี้ด้วย
ในฝั่งของตลาดเงินสัปดาห์นี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบลงเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัวสูง เห็นได้จากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในช่วงวันศุกร์ โดยสกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) จะเป็นสกลุเงินที่ตลาดเลือกถือช่วงนี้
ฟากเงินบาทในช่วงนี้ก็ยังคงมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลงไปอย่างชัดเจน ทั้งจากฝั่งธุรกิจพลังงาน และผู้ผลิตรถยนต์ที่อาจต้องรอให้ทุกอย่างกลับมาเปิดเป็นปกติก่อน และแม้แรงขายในหุ้นและบอนด์จะเริ่มลดลง แต่กลับยังไม่มีทีท่าที่จะมีเงินลงทุนกลับมาเป็นปรกติเหมือนช่วงที่มีการทำ QE ครั้งก่อนๆ เนื่องจากนักลงทุนส่วนมาก ดูจะเลือกลงทุนในฝั่ง Developed Asia ก่อน ขณะที่เงินลงทุนใน Emerging Markets ก็ตกไปอยู่ที่ฝั่งละตินอเมริกาและยุโรปแทนที่ฝั่งเอเชีย ในช่วงสัปดาห์นี้ ถ้าไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบ
กรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 32.45-32.95 บาทต่อดอลลาร์