ข้อมูลล่าสุดระบุว่า สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 468,895 ราย และมีผู้เสียชีวิต 16,697 ราย มีการประกาศใช้มาตรการล๊อคดาวน์เข้มข้นในหลายพื้นที่การแพร่ระบาด มาตรการให้ประชาชนทำงานจากบ้านและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการชุมนุม ทำให้ธุรกิจบริการจำนวนมากต้องปิดดำเนินการชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐฯจะสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้ในเดือนหน้า "ผมคิดว่าภาคธุรกิจจะกลับมาเปิดดำเนินการ ทันทีที่ท่านประธานาธิบดีรู้สึกพอใจต่อเรื่องยารักษาโรคโควิด-19" นายมนูชินกล่าวและว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทและแรงงานของชาวอเมริกันกลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง และเพื่อให้พวกเขามีสภาพคล่องที่ต้องการสำหรับการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ยังได้ออกชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนอกจากจะมุ่งซื้อพันธบัตรของรัฐบาลมลรัฐและเทศบาลขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจให้กับระดับท้องถิ่นแล้ว ยังมุ่งช่วยส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถประคองตัวผ่านพ้นวิกฤติและไม่ต้องปลดพนักงาน
ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา “โควิด-19” ในสหรัฐฯ ทำให้ ยอดผู้เสียชีวิตของสหรัฐฯแซงหน้าสเปนขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก ขณะที่อิตาลีเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลกที่จำนวน 18,279 ราย
ถึงแม้รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะออกมาแสดงความมั่นใจ แต่ด้านพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายค้าน โดยนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาระบุว่า จนเองไม่แน่ใจว่า ธุรกิจภาคเอกชนจะกลับมาเปิดดำเนินการได้เมื่อไร "ดิฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถบอกกำหนดวันที่ชัดเจนได้ แต่เราหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า" นางเปโลซีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับการขยายการตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 และใช้ความพยายามในการยุติวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข รวมทั้งพัฒนายารักษาโรคควบคู่กันไป จึงจะสามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาขับเคลื่อนต่อไปได้