เปิดจดหมายร.พ.ซาอุฯ "คำสั่งด่วนที่สุด เคลียร์พื้นที่รองรับ VIP"

10 เม.ย. 2563 | 10:32 น.

ข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกเกี่ยวกับพิษสงของไวรัสโคโรนา “โควิด-19” ในภูมิภาคตะวันออกกลางล่าสุด คือ การติดเชื้อในหมู่สมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียซึ่งรายงานข่าวระบุว่า มีถึง 150 พระองค์  ทำให้โรงพยาบาล King Faisal Specialist Hospital ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแถวหน้าของประเทศ ต้องออกจดหมายเวียนออนไลน์ภายในองค์กร ระบุคำสั่งเร่งด่วนให้เจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อม “ระดับสูง” รองรับการรักษาผู้ป่วยระดับวีไอพี ที่จะเข้ารับการรักษา รวมถึงการเตรียมเตียงผู้ป่วย 500 เตียงสำหรับพระราชวงศ์และข้าราชบริพาร

โรงพยาบาล King Faisal Specialist Hospital

จดหมายเวียนออนไลน์ดังกล่าวมีถึงคณะแพทย์ระดับสูงของโรงพยาบาลเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา (7 เม.ย.) และเดอะ นิวยอร์ค ไทมส์ สื่อใหญ่ของสหรัฐฯเป็นผู้นำมาเผยแพร่ ส่วนหนึ่งของเนื้อหายังระบุว่า ด้วยความจำเป็นต้องรองรับผู้ป่วยวีไอพีระดับราชวงศ์จำนวนนับร้อย ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้าย “ผู้ป่วยโรคเรื้อรังทุกคน” ออกโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และถ้าหากจะรับผู้ป่วยใหม่ ต้องเป็นกรณี “เร่งด่วนที่สุด” เท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ใช้สิทธิรักษาอาการเจ็บป่วยของตนเองอยู่ ก็ต้องออกไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นเพื่อเปิดพื้นที่ให้โรงพยาบาล KFSH สามารถรองรับบรรดาสมาชิกราชวงศ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 เข้ามารับการรักษา

ข่าวระบุว่า ขณะนี้เจ้าชายไฟซาล บิน บันดาร์ บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอูด พระราชนัดดาของกษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุดิอาระเบีย ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการนครริยาด พระชนมายุ 70 พรรษา ถูกนำส่งโรงพยาบาลและเข้ารับการรักษาในห้องผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) ส่วนกษัตริย์ซัลมาน (84 พรรษา) ทรงแยกพระองค์ออกไปนอกเมืองหลวง โดยทรงประทับในพระราชวังบนเกาะแห่งหนึ่งกลางทะเลแดงใกล้เมืองเจดดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ขณะที่มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (34 พรรษา)  เสด็จไปพำนักในพื้นที่ชายฝั่งทะเลแดงซึ่งเป็นที่ส่วนพระองค์เช่นกัน

เจ้าชายไฟซาล บิน บันดาร์ บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอูด ผู้ว่าการนครริยาด ติดเชื้อโควิด-19 และเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู

ข่าวการติดเชื้อโควิด-19 ของสมาชิกราชวงศ์อัล ซาอูด แห่งซาอุดิอาระเบีย รวมถึงข่าวการเข้ารับการรักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนักของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในรัฐบาลอิหร่านด้วยสาเหตุจากโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่า เชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วและไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ชนชั้นใดก็ตาม สามารถติดเชื้อและเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ได้ทั้งสิ้น

ในกรณีของซาอุดิอาระเบียนั้น แม้รัฐบาลจะมีมาตรการที่เข้มงวด คัดกรอง และสกัดกั้นการเดินทางของชาวต่างชาติเข้าประเทศมาตั้งแต่ต้นก่อนที่จะมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อคนแรกของประเทศเมื่อต้นเดือนมีนาคม แต่ซอุดิอาระเบียก็ยังเป็นหนึ่งในประเทศตะวันออกกลางที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อแล้ว 3,287 ราย และเสียชีวิต 44 ราย

สำหรับสมาชิกราชวงศ์นั้น มีจำนวนมากกว่า 1,000 คน “ถ้าหากโรคร้ายนี้เข้าถึงสมาชิกราชวงศ์ มันก็จะกลายเป็นเรื่องฉุกเฉิน” นายคริสเตียน โคตส์ อุลริคเซ็น ผู้เชี่ยวชาญซาอุฯศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยไรซ์ ให้ความเห็น ทั้งนี้ ในเบื้องต้นมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า สมาชิกราชวงศ์ที่ไปติดเชื้อโควิด-19 มานั้น น่าจะเป็นการติดเชื้อมาจากการเดินทางไปในประเทศแถบยุโรป และอีกส่วนหนึ่งน่าจะติดเชื้อมาจากอิหร่านซึ่งเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ แพทย์ในซาอุดิอาระเบียยังเปิดเผยกับ เดอะ นิวยอร์ค ไทมส์ ด้วยว่า ในบรรดาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในซาอุดิอาระเบียนั้น กลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นผู้ที่ไม่ได้มีสัญชาติซาอุฯ กล่าวคือเป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศอื่น ๆในตะวันออกกลางที่เศรษฐกิจยากจนกว่าซาอุดิอาระเบีย คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนเท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากร 33 ล้านคนของซาอุดิอาระเบีย  ส่วนใหญ่พักอาศัยในแคมป์คนงานที่แออัดและตั้งอยู่นอกเมืองหลวง รวมทั้งเมืองใหญ่อื่น ๆ ทำให้สภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตไม่ดีนักและเสี่ยงต่อการติดโรคระบาด

นอกจากแคมป์คนงานแล้ว สถานที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงของการแพร่ระบาดในซาอุดิอาระเบีย คือชุมชนแออัด หรือ สลัม รอบ ๆเมืองเมกกะ และเมืองเมดินา ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของชาวมุสลิมเชื้อแอฟริกันและอาเซียน ที่เป็นลูกหลานของนักแสวงบุญที่มาจากประเทศอื่น ๆ เมื่อหลายทศวรรษที่แล้วและไม่ยอมกลับประเทศ จึงทำให้ลูกหลานที่เกิดในซาอุดิอาระเบียในเวลาต่อมา กลายเป็นบุคคลนอกกฎหมายและไม่ได้รับสวัสดิการด้านสาธารณสุขและบริการอื่น ๆ จากภาครัฐ