หลังจากคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 เห็นชอบให้กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ซึ่งเป็นผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอเงินประกันรายได้ขั้นต่ำเป็นผลตอบแทนให้แก่รัฐดีที่สุด เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกและเข้าสู่กระบวนการเจรจานั้น ล่าสุดในวันนี้(9 เมษายน 2563)คณะกรรมการคัดเลือกฯมีมติเห็นชอบผลการเจรจาของคณะทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือและประธานคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เปิดเผยว่าวันนี้คณะกรรมการคัดเลือกฯได้เห็นชอบผลการเจรจาของคณะทำงานเจรจาของคณะทำงาน 2 ชุด ได้แก่ คณะทำงานเจรจาเงื่อนไขร่างสัญญาร่วมลงทุน และคณะทำงานเจรจารายละเอียดด้านเทคนิค ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการคัดเลือกฯ
หลังจากก่อนหน้านี้คณะทำงานเจรจาฯ ได้นำเสนอผลการเจรจาต่อคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 วันที่ 7 เมษายน 2563 และวันที่ 9 เมษายน 2563 โดยหลักการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ และคณะทำงานฯ เป็นไปตามกรอบของเอกสารการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ตามกฎหมาย และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
โดยที่ภาครัฐจะต้องไม่เสียประโยชน์แต่อย่างใด และในการดำเนินการได้มีผู้แทนผู้สังเกตการณ์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เข้าร่วมทุกกระบวนการ ทั้งนี้ ในลำดับถัดไปจะจัดส่งเอกสารร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบและให้ความเห็น เพื่อนำเสนอผลการคัดเลือกต่อ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และคณะรัฐมนตรีต่อไป
ทั้งนี้ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานภายใต้กรอบระยะเวลา เนื่องจากโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนสูง และเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อพัฒนาพื้นที่อีอีซี คณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงได้ดำเนินการตามแผนมาโดยตลอด เพื่อให้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกบรรลุวัตถุประสงค์และยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เพื่อให้แผนการพัฒนาเศรษฐกิจบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล
ด้านแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผย
กับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า คาดว่าคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก จะสามารถส่งสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดได้ในสัปดาห์หน้า และคาดว่าจะ
ลงนามสัญญาได้ประมาณพฤษภาคมปี 2563 หลังจากบรรลุการเจรจากระบวนการเจรจากับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ซึ่งเป็นผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลตอบแทนให้รัฐดีที่สุดดำเนินการแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ กรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกีด (มหาชน) หรือบีทีเอส เผยกับว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ได้เจรจากับคณะกรรมการคัดเลือกฯ มีความคืบหน้าไปได้ดี โดยจะต้องผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ และจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเข้าสู่ขั้นตอนตรวจสอบเอกสารสัญญาของสำนักงานอัยการสูงสุดก่อนจึงจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ และจะลงนามในสัญญาได้ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือนพฤษภาคมนี้
ทั้งนี้หลังลงนามแล้ว กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส จะดำเนินการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯในระยะแรก ซึ่งมีระยะเวลา 3 ปี โดยงานก่อสร้างเฟสแรกจะใช้งบลงทุนราว 4 หมื่นล้านบาท ได้แก่ งานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร ที่รองรับผู้โดยสารได้ 16 ล้านคนต่อปี เพิ่มจากที่ทีโออาร์ระบุไว้ 12 ล้านคนต่อปี รวมถึงระบบเชื่อมต่อภายในอาคารผู้โดยสาร นอกจากนี้จะเป็นการพัฒนาเมืองการบิน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเอกชนสามารถเลือกดำเนินการกิจกรรมได้เอง ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้ระบุไว้ในทีโออาร์
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถือว่าโครงการยังคงเป็นไปตามแผนกำหนดไว้จะเปิดบริการส่วนแรกในปีที่ 3 ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอสจะเริ่มส่งผลตอบแทนให้รัฐ โดยวงเงินที่เสนอผลตอบแทนให้รัฐไป 3 แสนล้านบาท (NPV) จะจ่ายให้รัฐภายใน 50 ปีหรือตามระยะเวลาสัมปทาน
อนึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส เป็นการร่วมทุนระหว่าง BTS ถือหุ้น 35% กับ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ถือหุ้น 45%และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งยื่นข้อเสนอเข้าร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกต่อกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก มีวงเงิน การลงทุนราว 2.9 แสนล้านบาท โดยเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกให้ร่วมลงทุนในโครงการ จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการก่อสร้างและพัฒนาอาคารผู้โดยสาร หลังที่ 3 ศูนย์การขนส่งภาคพื้นดิน (Ground Transportation Center) ศูนย์ธุรกิจการค้า (Commercial Gateway) ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ (Cargo Complex) และเขตประกอบการค้าเสรี (Cargo Village) และเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่อง รวมทั้งรับผิดชอบการบริหารจัดการ และพัฒนาพื้นที่ประมาณ 6,500 ไร่ภายในโครงการ