เปิดไส้ในหุ้นกู้บิ๊กอสังหาฯ 8.92 หมื่นล้าน

05 เม.ย. 2563 | 05:24 น.

เปิดไส้ในหุ้นกู้บิ๊กอสังหาฯ 8.92 หมื่นล้าน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ นำโด่ง 1.5 หมื่นล้าน

ทริสเรทติ้ง รายงานปีนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 22 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอน 89,296 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะสั้น 23,355 ล้านบาท และระยะยาว 65,941 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ที่ครบดีลช่วง 3 เดือนมี 47,772 ล้านบาท และระยะ 6 เดือน 64,832 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 50% ของหุ้นกู้ดังกล่าวจะครบกำหนดไถ่ถอนไตรมาส 2 ปีนี้ 

 

เปิดไส้ในหุ้นกู้บิ๊กอสังหาฯ 8.92 หมื่นล้าน

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯทั้ง 22 บริษัทนั้น  บริษัทที่มีวงเงินหุ้นกู้สูงสุดเรียงลำดับได้ดังนี้ 1.บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  15,000 ล้านบาท 2.บมจ.เอพี ไทยแลนด์ 8,120 ล้านบาท3.บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ 8,000 ล้านบาท 4.บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท 7,100 ล้านบาท 5.บมจ. แสนสิริ 6,080 ล้านบาท 6.-7.บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ โกลเด้นแลนด์ กับบมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ 6,000 ล้านบาท  8. บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น 5,685 ล้านบาท  9.บมจ.ศุภาลัย 5,500 ล้านบาท  10.บมจ.พรอพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 3,605 ล้านบาท

11.บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ 2,550 ล้านบาท  12.บมจ.อารียา พรอพเพอร์ตี้ 2,520 ล้านบาท13.บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ 2,330 ล้านบาท  14.บมจ.มั่นคง เคหะการ 2,310 ล้านบาท  15.บมจ.ยูนิเวนเจอร์ 2,000 ล้านบาท  16.บมจ.ไรมอนแลนด์ 1,426 ล้านบาท  17.บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ 1,300 ล้านบาท  18.บมจ.แอลพีเอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ 1,000 ล้านบาท  19.บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ 960 ล้านบาท  20.บมจ.ปริญสิริ 700 ล้านบาท  21.บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ 670 ล้านบาท 22.บมจ.ชาญอิสสระ  ดีเวล็อปเมนท์ 440 ล้านบาท

 

ส่วนใหญ่หุ้นกู้ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย จะเน้นหุ้นกู้ระยะยาว โดยเฉพาะ แลนด์แอนด์ เฮ้าส์ เป็นผู้ประกอบการที่ให้น้ำหนักมากถึง 14,000 ล้านบาท จากยอดหุ้นกู้ 15,000 ล้านบาท

 

สำหรับมุมมองต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยนั้น ทริสเรทติ้งจัดอันดับคงมุมมอง"Negative" หรือ "ลบ"  แม้การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจนี้ แต่ก็สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งหากการแพร่ระบาดยิ่งนานก็จะยิ่งส่งผลกระทบที่มากขึ้นต่อธุรกิจ แม้ในกรณีที่การแพร่ระบาดสามารถควบคุมได้ภายในครึ่งแรกของปีนี้ แต่ยอดขายที่อยู่อาศัยก็น่าจะยังลดลงที่ระดับประมาณ 20%-30% จากปีก่อนหน้า