ประกาศเคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์ในหลายปท. ทำให้หุ้นขึ้น

04 เม.ย. 2563 | 02:35 น.

บล.เอเซีย พลัส เผย ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในหลายประเทศจะปรับขึ้น ขานรับการประกาศล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิว โดยมีการกำหนดวันที่มีผลใช้บังคับ

ประกาศเคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์ในหลายปท. ทำให้หุ้นขึ้น

 

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส  (ASPS) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก ยังคงรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก  ( ณ วันที่ 4 เมษายน เวลา 07.00 น.) อยู่ที่ 1,097,909 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 59,131 ราย โดยสหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากสุด  276,995 ราย ,อิตาลี 119,827 ราย ,สเปน 119,199 ราย ,เยอรมนี 91,159 ราย, จีน 82,511 ราย ,ฝรั่งเศส 65,202 ราย 

 

จะเห็นได้ว่า ทั่วโลกออกมาตรการคล้ายๆกัน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน เช่น หลายบประเทศลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ บางประเทศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ผ่านการทำ QE ในวงเงินมากกว่าวิกฤตซับไพรม์

 

มาตรการคุมการไวรัส COVID-19 จากจำนวนประเทศทั่วโลก 193 ประเทศ ล่าสุด มีราว 25 ประเทศ หรือ 13% ของประเทศทั่วโลก ประกาศล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิว ไม่ว่าจะเป็นการห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ, ห้ามประชาชนออกจากบ้านในระยะเวลาที่กำหนดเป็นต้น


 

ฝ่ายวิจัย ASPS  ไปดูข้อมูลพบว่า หลังจากที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ประกาศล็อกดาวน์ หรือประกาศเคอร์ฟิว โดยมีการกำหนดวันที่มีผลใช้บังคับ ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะปรับขึ้น (ดังตาราง)เมื่อกลับมาดูตลาดหุ้นไทยที่ให้น้ำหนักกับการประชุมครม.นัดพิเศษ( 3 เมษายน )คาดว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3 และ 4 ระยะเวลามาตรการ 6 เดือน คือไตรมาส 2 และไตรมาส 3 โดยเชื่อว่าจะครอบคลุม 4 ส่วน ได้แก่SMEs, เกษตรกร, ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และมาตรการดูแลตลาดเงินและตลาดทุน

 

ประกาศเคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์ในหลายปท. ทำให้หุ้นขึ้น

เบื้องต้นนี้ ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ประมาณ 1.25 ล้านล้านบาท ดังนี้

1.พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อกู้เงินราว 1 ล้านล้านบาท หากดูจากหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ปัจจุบันอยู่ที่ 41.27% โดยเฉพาะเพดานหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% ซึ่งอยู่ในกรอบสามารถทำได้

 

2.การจัดสรรโยกย้ายเงินงบประมาณปี 63 ใหม่ โดยคาดว่าจะมีการโยกงบประมาณของแต่ละกระทรวงประมาณ 10% มาไว้ที่งบกลาง และรวมโยกงบประมาณรายจ่ายลงทุนปี 63 วงเงินราว 2 แสนล้านบาท เข้ามาเสริม ส่งผลให้รัฐจะมีงบประมาณอีกราว 2.5 แสนล้านบาท โดยรวมแล้ว เม็ดเงินจาก 2 ส่วนที่คาดว่าจะเข้าสู่ระบบ 1.2 แสนล้านบาท คาดว่าจะทำให้ GDP Growth ในปี 63 ติดลบน้อยลง