วันที่ 2 เมษายน 2563 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงมาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้สินของสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ประชาชนมีรายได้ลดลง และไม่เพียงพอต่อการครองชีพ สหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกภาคส่วน ปัจจุบันมีสหกรณ์ 6,579 แห่ง สมาชิกกว่า 11 ล้านคน เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 3,453 สหกรณ์ มีสมาชิกที่กู้ยืมเงินจากสหกรณ์เพื่อไปประกอบอาชีพทางการเกษตร 1.035 ล้านคน จำนวนเงิน 178,473.04 ล้านบาท
“ทั้งนี้เงินที่ให้สมาชิกกู้ยืมส่วนหนึ่งมาจากทุนของสหกรณ์เอง และบางสหกรณ์กู้ยืมมาจากแหล่งเงินทุนภายนอก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กองทุนพัฒนาสหกรณ์ และสถาบันการเงินอื่น “
ส่วนสหกรณ์นอกภาคการเกษตร (ออมทรัพย์ เครดิตยูเนี่ยน บริการ และร้านค้า) 3,126 สหกรณ์ มีสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 600 แห่ง เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการณ์และรัฐวิสาหกิจ สมาชิก 188,700 ราย วงเงินกู้ 122,807 ล้านบาท สำหรับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีจำนวน 36 แห่ง สมาชิก 36,500 ราย วงเงินกู้ 600 ล้านบาท และสหกรณ์เดินรถซึ่งเป็นสหกรณ์บริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งมีจำนวน 230 แห่ง สมาชิก 100,207 ราย มีการให้เงินกู้ยืมแก่สมาชิกรวม 1,444.85 ล้านบาท
นางสาวมนัญญา กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ออกมาตรการและแนวทางช่วยเหลือบรรเทาภาระชำระหนี้ให้แก่สมาชิกสหกรณ์และสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้ออกประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ ให้สหกรณ์ใช้เป็นแนวทางในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด – 19 ในขณะนี้
โดยขอความร่วมมือสหกรณ์ผ่อนผันการชำระหนี้ให้กับสมาชิก ทั้งขยายเวลาการชำระหนี้ การพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่วนการชำระค่าหุ้นของสมาชิก ขอให้ปรับลดหรืองดส่งค่าหุ้นรายเดือนเป็นการชั่วคราว หรืองดหักส่งค่าหุ้นตามส่วนของเงินกู้ จนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
ส่วนมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินในส่วนของสหกรณ์ มี 3 แนวทาง ได้แก่ สหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประสานขอความร่วมมือ ธ.ก.ส. ผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้สหกรณ์ ไม่เกิน 20 ปี ปลอดชำระต้นเงิน 3 ปีแรก และขอสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ำกว่า MLR-1 ต่อปี หากสหกรณ์ใดมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว สามารถติดต่อ ธ.ก.ส. สาขาที่สหกรณ์กู้ยืมเงิน
สำหรับสหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ให้ขยายเวลาการชำระหนี้ได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งสหกรณ์จะต้องผ่อนผันขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้แก่สมาชิกผู้กู้เงินจากสหกรณ์เช่นเดียวกัน ส่วนกลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จะได้รับการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระออกไปอีก 1 ปี โดยขยายเวลาชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และกลุ่มเกษตรกรจะต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้ งดคิดดอกเบี้ยและค่าปรับกับสมาชิกด้วย ซึ่งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่จะขอขยายเวลาการชำระหนี้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัด
ทั้งนี้ คาดว่าทุกมาตรการจะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้สินให้กับสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 โดยคาดว่าสหกรณ์ภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร จำนวน 2,660 แห่ง ที่ขยายเวลาการชำระหนี้หรือพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว สมาชิกจะได้รับประโยชน์ 5.79 ล้านคน ต้นเงินกู้จำนวน 1,296,843.76 ล้านบาท มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง ร้อยละ 0.50 คิดเป็นมูลค่า 6,480 ล้านบาท
สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่สมาชิกในครั้งนี้ จะช่วยให้สมาชิกสหกรณ์ได้มีเงินเหลือจากการที่สหกรณ์ขยายระยะเวลาชำระหนี้หรือพักหนี้เป็นการชั่วคราวและลดดอกเบี้ยเงินกู้ เฉลี่ยรายละ 19,720 บาทต่อเดือน และมีเงินเหลือจากการปรับลดค่าหุ้นรายเดือนหรืองดส่งค่าหุ้น ตามส่วนของเงินกู้อีกเดือนละประมาณ 430 บาท ซึ่งสมาชิกจะมีเงินเหลือใช้จ่ายในครัวเรือน เฉลี่ยเดือนละ 20,150 บาท
สำหรับการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้สหกรณ์การเกษตรที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส.และได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ผิดนัดของสหกรณ์ได้ 710 แห่ง มูลหนี้ 48,800 ล้านบาท ส่วนสหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ 917 แห่ง ที่ได้รับการขยายเวลาชำระหนี้ จะมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และส่งผลให้สมาชิกสหกรณ์ 108,740 ราย ได้รับผ่อนผันการชำระหนี้รายละ 24,000 บาท และกลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 1,392 แห่ง ที่ได้รับการขยายเวลาชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จะมีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่สมาชิก 704.98 ล้านบาท
โดยทุกมาตรการจะช่วยผ่อนปรนภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้มีเงินสำหรับใช้จ่ายในการดำรงชีพและนำไปลงทุนประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ซึ่งทุกมาตรการที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ออกเป็นคำแนะนำไปยังสหกรณ์นั้น แต่ละสหกรณ์สามารถเลือกใช้และนำไปปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินงานของสหกรณ์ เพื่อร่วมกันดูแลความเป็นอยู่และแบ่งเบาภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์ จนกว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติต่อไป