"เอเซียพลัส" ชี้จังหวะเข้าซื้อหุ้นไทยQ2 หลุด1,000 จุด  

01 เม.ย. 2563 | 04:34 น.

"เอเซียพลัส " แนะจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทย Q2 คาดดัชนี SET มีโอกาสต่ำกว่า 1,000 จุด  Downsideจำกัด โอกาสฟื้นตัวเร็ว เชียร์ 6 หุ้นเด่น  GULF, BGRIM, BAM, SEAFCO, TFG และ INTUCH 

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือ ASPS ในกลุ่มบมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) มองทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2/63 ยังผันผวนสูง และ SET Index มี โอกาสปรับลงต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด ปัจจัยกดดันหลักยังมาจากการแพร่ระบาด ของ COVID-19 แต่มองเป็นจังหวะเข้าซื้อหุ้น เพื่อลงทุนระยะยาว 

 

“ตลาดยังผันผวนจากเรื่องของ COVID ที่ยังไม่นิ่ง แนวโน้มมีโอกาสหลุด 1,000 จุด แต่ตรงจุดนี้ เป็นจังหวะดีที่เรามองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้น เพื่อการลงทุนในระยะยาว” นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย ASPS กล่าว และว่า

 

ในเดือนเม.ย. และตลอดทั้งไตรมาส 2 ของปีนี้ ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนยังอยู่ที่เรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ว่าจะรุนแรงและยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเกือบทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว, การค้าระหว่างประเทศ, การบริโภคภายในประเทศ จนนำไปสู่การปรับลดประมาณการ GDP Growth ของไทย ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท )คาดเศรษฐกิจไทยปี 63 จะติดลบ  5.3% จากเดิมคาดบวก 2.8%

 

ผลกระทบดังกล่าว ทำให้ยังเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ Fund Flow จากต่างชาตินั้น ก็ยังมีโอกาสชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความคาดหวังแรงซื้อจากกองทุน SSF เงื่อนไขพิเศษ ที่เปิดขายในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 63 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยได้ในระยะสั้น

 

รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย ASPS กล่าวถึง กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ว่า ล่าสุดฝ่ายวิจัยฯ ได้ปรับลดประมาณการกำไรบจ.ปี 63 มาที่ 7.8 แสนล้านบาท ลดลง 2.19 แสนล้านบาท หรือลดลง 16.5% จากประมาณการเดิม ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 63 ลดเหลือ 72.62 บาทต่อหุ้น จากเดิม 95.71 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 17.8% yoy
โดยหลักๆ มาจากการปรับลดกำไรในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ผลจากการปรับลดสมมุติฐานราคาน้ำมันลง และ Spread ปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ถูกกดดันจากดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ บวกกับเศรษฐกิจที่ชะลอ จึงมีความเสี่ยงที่จะลดดอกเบี้ยได้อีกในช่วงที่เหลือของปี

 

กลุ่ม ICT มีต้นทุนจากการประมูลคลื่น 5G เพิ่มขึ้น, กลุ่มการบินและท่องเที่ยวถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 หากยืดเยื้อกว่าที่เป็นอยู่

 

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมาแรง จากความกังวลเรื่อง COVID-19 ที่กระทบเศรษฐกิจมาก แต่หากวิเคราะห์ Valuation ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน โดยดูจาก Market Earning Yield Gap ปัจจุบันที่ 5.90% ถือว่ากว้างมาก สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยมี Downside ที่จำกัด และมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว หากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2 นี้ แนะนำให้สะสมหุ้นที่ปรับฐานลงมาแรงจากประเด็น COVID-19 พร้อมกับมีโอกาสฟื้นตัวได้แรงกว่าตลาด หรือมีค่า Beta Plus สูง อย่าง GULF, BGRIM, BAM, SEAFCO, TFG รวมถึงหุ้นที่มีเกราะป้องกัน COVID-19 อย่าง INTUCH ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ หุ้นที่ Over Value อย่าง THAI และ TASCO