นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ประชุมร่วมกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เลขาธิการแพทยสภา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนองค์การเภสัชกรรม ผู้แทนเลขาธิการสคบ สตช กรมการค้าภายใน กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์และเจลขาดแคลน รวมถึงการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ขายสินค้าเกินราคาและกักตุนหน้ากากอนามัย ซึ่งได้มีข้อหารือและเป็นที่น่าพอใจในหลายเรื่อง ดังนี้
1. ประเด็นขาดแคลนหน้ากากอนามัย
ขณะนี้มีการจัดสรรหน้ากากอนามัยให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ วันละ 1.2 ล้านชิ้น แล้วดังนี้ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 500,000 ชิ้น โรงพยาบาลนอกสังกัด 90,000 ชิ้น โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย 130,000 ชิ้น โรงพยาบาลเอกชนและคลินิกเอกชน 200,000 ชิ้น โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 80,000 ชิ้น และกระจายให้กลุ่มเสี่ยงที่ถูกกักตัว จำนวน 150,000 ชิ้น
ทั้งนี้ สำหรับโรงพยาบาลในระดับเล็กบางจังหวัด คลีนิคและร้านขายยาที่ยังได้รับจัดสรรไม่ทั่วถึง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับไปแก้ไขปัญหาโดยเร็วต่อไป
2. ปัญหาจากโรงงานผลิตในประเทศ 11 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออก มักติดสัญญาการผลิตและส่งออกเฉพาะไม่สามารถนำมาขายให้กับคนไทยได้ และที่ผ่านมาโรงพยาบาลรัฐสั่งซื้อหน้ากากอนามัยจากจีนผ่านดีลเลอร์เพราะราคาถูกกว่า แต่เมื่อเกิดโรคระบาดในจีน จึงเกิดขาดแคลน
ทั้งนี้ กมธ. ได้รับทราบว่ามีการแก้ปัญหาให้ผู้ผลิตทั้ง 11 โรงงาน เร่งกลับมาผลิตให้กับโรงพยาบาลไทยในราคาควบคุมแล้ว แต่ยังติดปัญหาตามมา คือ เรื่องไส้กรองที่ประเทศไทยต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหมด กำลังจะขาดแคลนเช่นกัน
3. ปัญหาขาดแคลนหน้ากาก N 95 และชุด PPE ที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตเองได้ ต้องนำเข้าจากเวียดนามใต้แบรนด์บริษัทสหรัฐอเมริกา แต่จากแนวโน้มที่สหรัฐมีการแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น อาจเกิดขาดแคลนหน้ากาก N 95 และชุด PPE ได้ ทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงการติดเชื้อ
ทั้งนี้ กมธ. เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งประสานแก้ไขกับกรมการค้าภายในนำเข้าโดยเร็วให้เพียงพอ และกรมศุลกากรจะพิจารณางดและลดการเก็บภาษีในสินค้าที่เกี่ยวข้องต่อไป
4. การขายสินค้าหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์เกินราคา ไม่ได้มาตรฐาน ผ่านทางออนไลน์ เช่น ลาซาด้า และช้อปปี้ การขายหน้ากากเกินราคาควบคุม รวมถึงอุปกรณ์สำหรับใช้ผลิตหน้าผ้า
เช่น ยางยืดม้วนละ 65 บาท ขึ้นราคาเป็น 650 บาท นั้น สคบ. กรมการค้าภายใน ตำรวจ ปคบ. จะดำเนินการติดตามจับกุมดำเนินคดีและประสานแจ้งเตือนต่อไป
5. ปัญหาการขาดแคลนแอลกอฮอลล์ในโรงพยาบาล และเพื่อผลิตเจล มีราคาสูง มีการปลอมปนและความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ นั้น กรมสรรพสามิตแจ้งว่า มีนโยบายให้นำแอลกอฮอล์เข้าสู่ตลาดให้มากที่สุด โดยให้โรงงานเอทานอล 26 แห่ง เร่งนำแอลกอฮอล์เข้าสู่ตลลาดได้ ซึ่งจะทำให้ราคาแอลกอฮอล์และเจลพอเพียงและราคาถูก
ทั้งนี้ กมธ.เห็นควรให้กรมศุลกากรยกเว้นอากรนำเข้าหน้าอนามัยและวัสดุในการผลิตหน้ากากอนามัยทุกประเภท รวมถึงการงดเก็บหรือลดภาษีอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ด้วย
นอกจากนี้ กมธ. ยังมีข้อเสนอแนะอื่นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. เห็นควรให้รัฐบาลรวมการจัดตั้งศูนย์ COVID – 19 เพียงศูนย์เดียว (ลักษณะเดียวกันกับศูนย์บัญชาการกรณีถ้ำหลวง) เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ลดความสับสนและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบูรณาการข้อมูล เพื่อสื่อสารกับประชาชนที่ถูกต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกันก่อนการแถลงข่าวในแต่ละวัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดประชุมเพื่อซักซ้อมข้อมูลให้ถูกต้องก่อน
2. ต้องเร่งรณรงค์กันอย่างจริงจัง ให้ประชาชนรับทราบว่า คนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสามารถใช้หน้ากากชนิดผ้าได้ ส่วนหน้ากากอนามัยแบบ Surgical Mask หรือหน้ากาอนามัยทางการแพทย์นั้น ต้องสงวนไว้เตรียมให้แก่บุคคลากรทางการแพทย์และบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายก่อน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะออกสื่อหรือบุคคลที่มีอิทธิพลทางสื่อโซเซียล (Influencer) ต้องเป็นต้นแบบให้ประชาชนเห็นด้วย
3. การประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชนจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ/รูปแบบการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ที่ให้ประชาชนเข้าใจง่าย ภาครัฐต้องเร่งจัดทำชุดความรู้อย่างเป็นทางการเพื่อเผยแพร่ในรูปแบบคลิปวิดีโอ เพื่อให้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง โดยควรระบุหน่วยงานที่เป็นแหล่งข้อมูลที่ชัดเจน ลงวันที่ เวลาในวันดังกล่าว มีคำบรรยายใต้ภาพ และหรือใช้ล่ามภาษามือด้วย เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มคนในสังคมได้รับรู้โดยทั่วกัน เช่น ความรู้พื้นฐานของ COVID – 19 ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของหน้ากากอนามัยในแต่ละประเภท การรณรงค์ให้ประชาชนใช้หน้ากากผ้าและสอนวิธีการผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้าที่ถูกต้อง เป็นต้น
4. ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดขายสินค้าเกินราคา ไม่ได้มาตรฐาน หรือลักลอบส่งออกสินค้าควบคุม ในส่วนของเจ้าหน้าที่จะต้องออกตรวจตราสถานที่ที่มีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยและวัสดุที่ใช้ในการผลิตหน้ากากผ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมไม่ให้เกินราคา นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องออกประกาศหรือมาตรการใด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหารือและบูรณาการกันจนได้ข้อสรุปที่มีข้อมูลทุกมิติ รอบด้าน ไม่ใช่การออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งแต่ไปกระทบกับอีกปัญหาหนึ่ง เป็นต้น
5. การติดตามความคืบหน้าในคดีนายบอยที่โปรโมทขายหน้ากาก 200 ล้านชิ้นนั้น พบว่า มีความเกี่ยวโยงกับแกนนำพรรคการเมืองหนึ่ง และตรวจค้นจับหน้ากากอนามัย จำนวน 75,000 ชิ้น แต่คดีไม่คืบหน้า และยังไม่มีการลงโทษในคดีอาญา ในทางกลับกันมาจับแม่ค้ารายย่อยตามท้องถนน ศาลได้ตัดสินจำคุกจำเลยแบบรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านอาจไม่เชื่อใจในกระบวนการยุติธรรมได้
ทั้งนี้ กมธ. เห็นว่า สตช. จะต้องเร่งรัดสืบสวนคดีให้ยุติและส่งศาลโดยเร็ว สตช. สคบ. และกรมการค้าภายใน ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดขายสินค้าที่ขายเกินราคา สินค้าไม่ได้มาตรฐาน หรือลักลอบส่งออกสินค้าควบคุมอย่างเต็มที่ด้วย