สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19(COVID-19)ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงในหลายภาคส่วน รัฐบาลและกระทรวงการคลังประเมินว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะงบประมาณส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ และงบลงทุนที่มีโครงการรองรับไว้แล้ว มีเพียงงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินที่มีอยู่ทั้งสิ้น 9.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งไม่น่าจะพอ
รัฐบาลและกระทรวงการคลังจึงมีแนวคิดออกพระราชกำหนดเงินกู้มาใช้ในการแก้ปัญหาและช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)กู้เงินสามารถทำได้ตามรัฐนูญมาตรา 172 ที่บัญญัติให้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ตราพระราชกําหนดได้ เฉพาะเมื่อครม.เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
ขณะที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ มาตรา 20 และมาตรา 22 ก็ให้อำนาจกระทรวงการคลังสามารถออกพ.ร.ก.กู้เงินเพื่อมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กำหนดว่าการกู้เงินดังกล่าวจะต้องมีแผนงานหรือโครงการรองรับไว้อย่างชัดเจนว่าจะเอาไปทำอะไร จึงต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนก่อนออกพ.ร.ก.ว่าจะนำไปใช้ในเรื่องใดบ้าง แต่เบื้องต้นประเมินว่าจะต้องกู้เงินหลักแสนล้านบาท
“การออกพ.ร.ก.เงินกู้ครั้งนี้ จะกำหนดวัตถุประสงค์ตามพ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะมาตรา 20(2) คือพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม”แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้ตามมาตรา 20 พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ บัญญัติว่า ให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์
อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้
(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
(5) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ
ขณะที่มาตรา 22 บัญญัติว่าการกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กระทําได้เมื่อมีความจําเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีและต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศหรือจําเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจําปี
ชณะที่มาตรา 22 วรรคสองบัญญัติว่า การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้กําหนดวัตถุประสงค์ของการใช้เงินอย่างชัดเจนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกําหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี