174ผู้บริหารบจ.สบช่องซื้อหุ้นคืน

19 มี.ค. 2563 | 06:45 น.

ผู้บริหารบจ.สบโอกาสหุ้นร่วง 2 วันติด ไล่เก็บหุ้นเข้าพอร์ตรวม 359 ล้านบาท “ธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์” ทุ่ม 34 ล้านบาท ซื้อ OSP ด้านบจ.ประกาศซื้อหุ้นคืน

จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงแรงช่วงวันที่ 12-13 มีนาคม 2563 จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ประกาศหยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว (เซอร์กิต เบรกเกอร์) ในวันที่ 12 มีนาคม หลังดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 125.05 จุด คิดเป็น 10.00% และประกาศเซอร์กิตเบรกเกอร์อีกครั้ง หลังดัชนีลดลง 111.52 จุด หรือ 10% ทันทีที่เปิดการซื้อขายในวันที่ 13 มีนาคม ทำให้เกิดการซื้อหุ้นของผู้บริหาร เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจากราคาหุ้นที่ปรับลดลงค่อนข้างมาก

รายงานข่าวจากตลท.ระบุว่า จากแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร(แบบ 59) ในวันที่ 12 -13 มีนาคมพบว่า ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่มีการซื้อหุ้นทั้งหมด 174 ราย มูลค่ารวม 358,615,441 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อในวันที่ 12 มีนาคม วันเดียวถึง 273,076,136 ล้านบาท มีผู้บริหารที่ซื้อสูงสุดคือ นายธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ กรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (OSP) 1,000,000 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 33.46 บาท รวมมูลค่า 33,470,000 บาท

นอกจากนั้น ยังมีการประกาศซื้อหุ้นคืนของบจ. โดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน)(CPF) แจ้งอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท กำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 4.65% ของหุ้นทั้งหมด กำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่าง 1 เมษายน-30 กันยายน 2563 ด้านบริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) (SGP) ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินสูงสุดไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนไม่เกิน 91 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 5% ของหุ้นทั้งหมด กำหนดเวลาซื้อคืน 27 มีนาคม-26 กันยายน 2563

 

174ผู้บริหารบจ.สบช่องซื้อหุ้นคืน

 

ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ต้นปี 2563 มีบจ.อีก 9 แห่งที่ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน รวมมูลค่า 45,260 ล้านบาท ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 4,600 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 14-27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 23.93 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 134.00 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 3,207.96 ล้านบาท ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 16,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มซื้อหุ้นคืนในวันที่ 20 เมษายน-19 ตุลาคม 2563

ขณะที่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 7.36 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 46.76 บาท มูลค่ารวม 344.55 ล้านบาท, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด จากกำหนดระยะเวลาซื้อคืนระหว่าง 2 มีนาคม-1 กันยายน 2563, บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด(มหาชน) (BPP) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 2,500 ล้านบาท ล่าสุดซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 650,000 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 12.00 บาท มูลค่ารวม 7.8 ล้านบาท

 

สำหรับบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 94.86 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 16.15 บาท มูลค่ารวม 1,531.27 ล้านบาท, บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 800 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไปแล้ว 72.03 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 1.33 บาท มูลค่ารวม 95.95 ล้านบาท, บริษัท แกรททิทูด อินฟินิท จำกัด (มหาชน) (GIFT) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 210 ล้านบาท โดยจะเริ่มซื้อหุ้นคืนระหว่าง 20 เมษายน-29 เมษายน 2563 และบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TFG) จะซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 150 ล้านบาท ไม่เกิน 38 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.68% ของหุ้นทั้งหมด ระหว่าง 30 มีนาคม-29 กันยายน 2563

 

หน้า 13-14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,558 วันที่ 19-21 มีนาคม 2563