ธนาคารกลางสหรัฐ vs วิกฤติตลาดหมี 2020

20 มี.ค. 2563 | 00:35 น.

เมื่อวิกฤติมาถึง มนุษย์ธรรมดาเดินดินในตลาดการเงินอย่างเรา ก็มักหวังให้มีซูเปอร์ฮีโร่เข้ามาช่วย ซึ่งฮีโร่อันดับ 1 ตลอดกาล ก็คงหนีไม่พ้นธนาคาร กลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” ผู้สยบวิกฤติการเงินมาแล้วมากมาย

 

และขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ดอกเบี้ยนโยบายของเฟดก็ลดลงเหลือ 0-0.25% (Near Zero) ไปเป็นที่เรียบร้อย จนเป็นหน้าที่ของคนธรรมดาอย่างเรา ที่จะต้องรู้ให้ทันว่า นอกจากดอกเบี้ยนโยบายอันทรงพลังแล้วเฟดยังมีพลังวิเศษอะไรเหลือ แต่ละอย่างมีจุดแข็งจุดอ่อนหรือจะส่งผลกระทบกับสินทรัพย์ที่เราถืออยู่อย่างไร และพลังเหล่านี้เพียงพอที่จะต่อกรกับวิกฤติทางการเงินที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันได้ขนาดไหน

ซึ่งผมขอสรุปมุมมองส่วนตัวกับพลังพิเศษของเฟด3 อย่างที่น่าจะเห็น

อย่างแรกคือ พลังประเมินอนาคต (Forward Guidance) ซึ่งสามารถช่วยกดดอกเบี้ยระยะสั้นให้ตํ่าลงได้

พลังนี้เป็นองค์ประกอบของการวิเคราะห์เศรษฐกิจ โดยเฟดสามารถสื่อสารเงื่อนไขด้านระยะเวลาเพิ่มเติมด้วยการบอกตลาดว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับตํ่าไปนานแค่ไหน ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะสั้นและบอนด์ยีลด์อื่นๆ ตํ่าลงไปพร้อมกัน

พลังนี้น่าจะสามารถลดแรงขายที่กำลังกดดันพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลงได้

 

จุดแข็งคือ เป็นนโยบายที่แก้ปัญหาที่ตรงที่สุดกับความผันผวนของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่จุดอ่อนคือ ประสิทธิภาพที่ตํ่าเพราะนโยบายนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อเฟดเป็นผู้นำตลาดและมีความน่าเชื่อถือสูงต่างกับตอนนี้ที่ยีลด์มักปรับตัวขึ้นลงก่อนดอกเบี้ยขณะที่ตลาดก็อาจไม่เชื่อมั่นเพราะความกลัวกำลังครอบงำทุกการตัดสินใจอยู่ด้วย

 

ธนาคารกลางสหรัฐ  vs วิกฤติตลาดหมี 2020

 

พลังวิเศษต่อมาคือ การขยายขนาดงบดุลหรือที่รู้จักกันในชื่อ Quantitative Easing (QE) พลังนี้สามารถกดยีลด์ระยะยาวลงต่ออีกได้

วิธีการคือขยับเข้าซื้อสินทรัพย์ภาครัฐในตลาดเพื่อเปลี่ยนให้กลับไปเป็น สภาพคล่องพลังนี้จะเพิ่มการกดดันไปที่ยีลด์ทุกระยะทั้งในสหรัฐฯและทั่วโลกให้ตํ่าลงพร้อมกับหนุนให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ได้ถ้าคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตสูงขึ้น

จุดเด่นที่ต่างกับปี 2008 ชัดเจนมากคือ ความกังวลเรื่องวินัยการเงินและการคลังมีไม่มาก เพราะขนาดภาษียังลดได้ ทำไมจะทำ QE แก้ปัญหาวิกฤติการเงินไม่ได้

อย่างไรก็ดี การตีความ ก็ดูจะเป็นจุดอ่อนของ QE เสมอ เพราะการบอกว่า ซื้อไม่เหมือนการบอกราคาตลาดต้องตีความต่อและต้องเดาว่า กระทรวงการคลังจะออกพันธบัตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกันเท่าไหร่ด้วย

แต่เฟดยังมีอัลติเมตที่เคยคิดแต่ไม่เคยใช้ คือ การปรับสินทรัพย์ที่ซื้อได้ให้ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ที่กำลังมีปัญหา

ดังที่เจเน็ต เยลเลน อดีตประธานเฟดเคยกล่าวไว้ในสมัยที่เธอยังดำรงตำแหน่งว่าอาจจะมีประโยชน์กว่า ถ้าเฟดจะสามารถแทรกแซงโดยตรงในสินทรัพย์ที่ราคาเชื่อมกับการตัดสินใจใช้จ่ายได้

แต่จุดอ่อนใหญ่ที่สุดของนโยบายเช่นนี้คือMoral Hazard”

ถ้ามาทางนี้ท้ายที่สุดเฟดคงทำได้แค่แก้เกมด้วยการออกกฎระเบียบเพิ่มเติม ซึ่งก็จะทำให้ประสิทธิภาพของเศรษฐกิจลดลงไปอีก แต่ถ้าไม่ทำความน่าเชื่อถือของเฟดก็อาจหมดไปจนไม่สามารถกลับมาช่วยตลาดได้อีกเลย

เมื่อประเมินพลังวิเศษทั้งหมด สำหรับผมเชื่อว่า นโยบายเหล่านี้เพียงพอที่จะหยุดตลาดการเงินที่ผันผวนได้และเชื่อว่า เฟดจะใช้นโยบายการเงินรับมือกับวิกฤตินี้อย่างเต็มที่แน่นอนเหมือนที่กัปตันอเมริกามักพูดว่าI could do this for all day”

 


 

 

 

อย่างไรก็ดีผมยังหวังว่า เฟดจะไม่รีบร้อนใช้ทุกอย่างที่มี เพื่อแก้ปัญหาความผันผวนของตลาดการเงินครั้งนี้ เพราะถ้าคิดให้ดี ถึงจะหยุดความปั่นป่วนในโลกการเงินลงได้ แต่ปัญหาที่แท้จริงอย่างความกลัวไวรัสหรือเศรษฐกิจถดถอยก็ยังรออยู่

และตลาดการเงินอาจเสี่ยงมากกว่า ถ้าท้ายที่สุดเศรษฐกิจวิ่งเข้าสู่วิกฤติหลังจากที่เฟดหมดพลังไปแล้ว เพราะจะกลายเป็นว่าเราต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่คนทั้งโลกอาจต้องจดจำไปอีกแสนนาน

ถ้าถึงจุดนั้นจริงมนุษย์ธรรมดาเดินดินในตลาดการเงิน ถ้าไม่มองหาฮีโร่คนใหม่หรือไม่ก็ต้องกลายเป็นฮีโร่ของตัวเองให้ได้แล้วนะครับ

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,558 วันที่ 19-21 มีนาคม 2563