ก.ล.ต. ปรับอดีตผู้บริหาร STEC อินไซด์หุ้น 13 ล้านบาท

16 มี.ค. 2563 | 10:21 น.

ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดรวม 3 ราย ได้แก่ (1) นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรณีอาศัยข้อมูลภายในขายหุ้นบริษัท ซิโน–ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STEC) และเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น (2) นางสาวปรียา วงศ์ส่องจ้า กรณีช่วยเหลือนายวรพันธ์ขายหุ้น STEC โดยอาศัยข้อมูลภายใน และ (3) นางสาวศศิภัสช์ ช้อนทอง กรณีขายหุ้น STEC โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ซึ่งเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง รวมจำนวน 12,775,120 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามบุคคลทั้งสามเป็นกรรมการและผู้บริหาร

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นายวรพันธ์ได้รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในจากการเป็นผู้บริหารที่ดูแลสายงานการเงินและบริหาร และสามารถประเมินหรือคาดการณ์ได้ว่าผลการดำเนินงานประจำปี 2560 ของ STEC จะมีผลขาดทุนจำนวนมากจากการตั้งสำรองผลขาดทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยนายวรพันธ์ได้ขายหุ้น STEC ของตนที่อยู่ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปรียา ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 จำนวน 1,121,000 หุ้น ทำให้ได้ประโยชน์จากการขายหุ้น STEC โดยหลีกเลี่ยงการขาดทุน จากผลการดำเนินงานประจำปี 2560 ของ STEC ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 610.83 ล้านบาท ก่อนการเปิดเผยต่อสาธารณะในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 

นอกจากนี้ นายวรพันธ์ได้เปิดเผยข้อมูลภายในให้แก่นางสาวศศิภัสช์ (บุตรสาวของนายวรพันธ์) โดยรู้หรือควรรู้ว่านางสาวศศิภัสช์ อาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการขายหุ้น STEC ซึ่งนางสาวศศิภัสช์ได้ขายหุ้น STEC ของตนเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 จำนวน 91,900 หุ้น ทำให้ได้ประโยชน์จากการขายหุ้น STEC โดยหลีกเลี่ยงผลขาดทุนเช่นเดียวกับนายวรพันธ์ 

การกระทำของนายวรพันธ์เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในและเปิดเผยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1)(2) ประกอบมาตรา 243(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ที่แก้ไขโดยฉบับที่ 5 ส่วนนางสาวปรียาได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายวรพันธ์ในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติในมาตรา 242(1) อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 315 ประกอบมาตรา 242(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว 

สำหรับการกระทำของนางสาวศศิภัสช์เป็นการขายหุ้น STEC โดยรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในที่ได้รับทราบจากนายวรพันธ์ อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 244(3) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ที่แก้ไขโดยฉบับที่ 5
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายวรพันธ์ นางสาวปรียา และนางสาวศศิภัสช์ โดยให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดให้แก่ ก.ล.ต. รวมเป็นเงิน 11,394,400 บาท 548,725 และ 831,995 บาท ตามลำดับ และกำหนดระยะเวลาห้ามนายวรพันธ์ นางสาวปรียา และนางสาวศศิภัสช์ เป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 26 เดือน 9 เดือน และ 12 เดือน ตามลำดับ ทั้งนี้ การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง

หากผู้กระทำความผิดทั้ง 3 รายไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด  ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ชำระค่าปรับทางแพ่งตามอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดแก่ ก.ล.ต. รวมทั้งขอให้ศาลแพ่งกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 เท่าของระยะเวลาที่ ค.ม.พ. กำหนด และระยะเวลาห้ามเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์หรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามระยะเวลาสูงสุดที่กฎหมาย