"วิชัย"เปิดใจลา ทำงานทุ่มเทเกินร้อย(คลิป)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.10 น. (วันที่ 16 มี.ค.2563) นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) ได้เดินทางไปยังห้องประชุมกรมการค้าภายใน ชั้น 6 กระทรวงพาณิชย์ เพื่ออำลาข้าราชการ โดยทันทีที่มาถึงนายวิชัยได้ทักทายสื่อมวลชนที่มาปักหลักทำข่าวอยู่จำนวนมาก  เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงอะไรหลังจากนี้ นายวิชัยได้กล่าวติดตลกว่า “ห่วงตัวเองมากกว่า” หลังจากนั้น นายวิชัย ได้เข้าไปในห้องประชุม โดยบรรยากาศการให้นโยบาย และพบปะข้าราชการกรมการค้าภายในที่รอให้กำลังใจเป็นไปอย่างซึมเศร้า 

นายวิชัย กล่าวว่า มีบ้างที่น้อยใจเพราะทำงานทุ่มเทเกินร้อย ทำงานทุกวัน กลับบ้านเที่ยงคืนทุกวัน หลังจากนั้นนายวิชัยได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ภูมิใจที่ได้ทำงาน 36 ปีที่รับราชการมาทุ่มเทให้กับงานเกินร้อยเพื่อให้งานออกมาดีและประสบความสำเร็จ แต่ยอมรับว่างานบางอย่างยาก และสังคมเกิดความคาดหวังที่สูง อาจทำให้งานที่ออกมาไม่ถูกใจใครหลายคน

-รู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าจะมีคำสั่งดังกล่าว

ไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะมีคำสั่งย้าย ที่ผ่านมาผมเองอาจจะทำงานเรื่องหน้ากากอนามัยไม่ลงตัวและอาจจะไปกระทบกับผลประโชน์ใครบ้างก็ไม่รู้ เพราะตั้งแต่ตั้งกรมการค้าภายใน การบังคับใช้กฏหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการครั้งนี้ เข้มข้นที่สุด ทั้งเรื่องการคุมราคาสูงสุดไว้ที่ 2.50 บาทต่อชิ้น, การคุมสต๊อก ,การบริหารจัดการด้านการขายซึ่งกระทบคนเยอะ  แต่ก็น้อมรับว่า รับราชการมาที่กรมการค้าภายในมา 36 ปี งานบริหารจัดหน้ากากอนามัยเป็นงานหินที่สุดในชีวิต

“งานแบบนี้ความคาดหวังจากสังคมจะสูง และบางเรื่องแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่สังคมก็คาดหวังว่าจะเป็นไปได้ซึ่งมันยากที่สุดในการทำงาน ผมรับราชการมาปี 2526 และโตมากับกรมนี้มานานมาก ก่อนจะไปอยู่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และไปเป็นรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่อธิบดีที่คน.(กรมการค้าภายใน)ก็ปีกว่า”

-ยืนยันทีมงานและคน.ไม่หาประโยชน์

แต่ขอยืนยันว่าทีมงานและคนกรมการค้าภายในไม่มีทางหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตายของประชาชน หากใครหาผลประโยชน์ถือว่าสุดเลวและแย่มาก ๆ   ส่วนการโยกย้ายนี้จะเป็นธรรมหรือไม่นั้น สังคมจะรับรู้เอง

-ย้ำไม่เคยได้รับใบสั่งจากนักการเมือง

ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยรับคำสั่งจากนักการเมืองในการขอซื้อหน้ากากฯ หรือแม้แต่ข้าราชการในกรมก็ยังไม่กล้า  ไม่เคยมาซื้อกับผม  ส่วนไอ้โม่งที่ทุกคนพยายามกล่าวอ้าง ผมยังนึกไม่ออกว่าใคร และที่ผ่านมามีการพยายามโยงผมให้เข้ากับการเมืองมาโดยตลอด

“ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนมาออกคำสั่งให้ทำอะไรที่นอกเหนือกฎหมาย แม้กระทั่งการขอซื้อหน้ากากฯ หรือข้าราชการในกรมก็ต้องทำตามขั้นตอนกฎระเบียบ ผมเองยังนึกไม่ออกว่าหน้ากากอนามัยเล็ดลอดออกมาได้อย่างไร เพราะกรมส่งเจ้าหน้าที่ไปควบคุมและตรวจสอบตั้งแต่โรงงานต้นทางถึงปลายทาง มีการรายงานผลดำเนินการตลอด เพื่อไม่ให้เล็ดลอดออกนอกเส้นทาง ยืนยันว่าตั้งแต่กรมฯบริหารมา ตั้งแต่ 4  กุมภาพันธ์ 2563(ประกาศเป็นสินค้าควบคุม) ไม่มีปัญหาอะไร การจัดส่งหน้ากากไปให้ทุกฝ่ายรวม 15  ล้านชิ้น ราคาออกจากโรงงาน 2 บาทต่อชิ้น และโรงงานต้องส่งหลักฐานการจ่ายสินค้ามาให้กรมฯหากต้นทุนเกิน 2 บาท กรมก็ต้องจ่ายชดเชยส่วนต่างนั้น และกำหนดให้ร้านค้าปลีกขายไม่เกิน 2.50 บาทต่อชิ้น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องกักตุน เพราะหากตรวจพบก็ถูกดำเนินคดี ซึ่งย้ำว่าบังคับใช้อย่างเข้มข้นมากที่สุดตั้งแต่ตั้งกรมมา”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

-เจองานหินแต่ก็ภูมิใจที่ได้ทำ

ในอดีตงานที่ได้รับมอบหมายงานยาก ๆ หลายเรื่อง แต่ก็ภูมิใจที่ฝ่าฟันไปได้ เรื่องที่คิดว่ายากที่สุดคือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะถือว่าเป็นงานที่ยากอีกชิ้นหนึ่ง ที่ทำอย่างไรให้ผู้มีรายได้น้อย 14 ล้านคนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีร้านธงฟ้าให้ไปซื้อของ ซึ่งเริ่มมีร้านธงฟ้าเข้าร่วมที่ 2,000 ร้านค้า ผมเดินเข้าไปโดนร้านค้าสาดน้ำไล่ออกมาเพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้จะให้ไปซื้อของแต่ไม่ได้รับเงินและกว่าเงินจะเข้าก็อีก 2-3 วัน ก็ไปอ้อนวอนให้ร้านค้าช่วยเข้าร่วม จนปัจจุบันมีร้านค้าเข้าร่วมจำนวนมากจนไม่มีเครื่องรูดบัตรเพียงพอ นี่คือเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้น

งานชิ้นที่ 2 คือการออกมาต่อสู้เพื่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด จากเดิมที่นำเข้าข้าวสาลีปีละ 4.5 แสนตัน แต่ปีเดียวการนำเข้าข้าวสาลีกลับกระโดดมาที่ 4.5 ล้านตัน ทำให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดต้องทิ้งไร่ข้าวโพดเพราะไม่คุ้มราคาซึ่งเกิดความเสียหายมาก ผมจึงออกมาตรการออกมาในขณะที่หลายคนไม่เห็นด้วยเลย จึงเป็นที่มาที่ข้าวโพดเป็นสินค้าที่ต้องได้รับการดูแล ซึ่งการจะนำเข้าข้าวสาลีจะต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน กับการนำเข้าข้าวโพดได้ 1 ส่วน  

และงานที่หินอีกชิ้น คืองานประกันรายได้ 4 ชนิดสินค้า ที่ผมใช้เวลา 3 เดือนกว่า ใน 4 สินค้านี้ซึ่งประสบความสำเร็จลงด้วยดี และทุกวันนี้ที่สามารถทำสำเร็จไปแล้ว คือข้าว โดยล่าสุดไปประชุมครั้งสุดท้ายที่พัทลุงเมื่อวันที่ 13  มีนาคมที่ผ่านมา  และสินค้าที่น่าดีใจ คือปาล์มน้ำมันที่ใช้เงินไปแค่ 2 งวดในการชดเชยให้เกษตรกรและตอนนี้ราคาปาล์มน้ำมันราคาดีมากราคาเกิน 5 บาทต่อกิโลกรัม และบางช่วงขึ้นไปถึง 8 บาทต่อกิโลกรัมซึ่ง  2 สินค้านี้ เป็นสินค้าที่ผมภูมิใจมากว่าเราได้ช่วยชาวนาชาวสวนของไทย มีอีก 2 ตัวที่กำลังทำคือข้าวโพดกับมันสำปะหลัง แต่มันสำปะหลังราคายังไม่น่าพอใจมาก แต่คิดว่าระยะต่อไปน่าจะดีขึ้นเพราะความต้องการใช้แอลกอฮอล์ซึ่งใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบกำลังเพิ่มขึ้น แป้งมันจะขายได้ราคาขึ้นโดยคาดหวังไว้อย่างนั้น ส่วนข้าวโพดราคาน่าจะดี เพราะผลผลิตโดนภัยแล้ง การใช้ในเลี้ยงสัตว์เยอะขึ้น แต่ห่วงเรื่องนำเข้าเพราะตอนนี้นำเข้าเยอะมาก ซึ่งไม่มีทางสกัดอยู่ เพราะต้องให้ทางประเทศเพื่อนบ้างส่งเข้ามาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์-สิงหาคมที่สามารถนำเข้าได้ตามกฎหมาย

งานหินสุด คือ การคุมหน้ากากอนามัย

แต่งานทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่หินเท่า งานที่บอกเลยว่าตั้งแต่รับราชการมา 36 ปี ที่หินที่สุด คือ กรณีของหน้ากากอนามัย ขอเรียนว่าเป็นงานที่ไม่ว่าจะมี 1วิชัย หรือต่อให้100วิชัย ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยได้ เพราะเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด นั่นคือการที่สื่อสารออกไปว่าทุกคนต้องมีหน้ากากอนามัยใช้ นี้คือความผิดพลาดจากการไปใส่ความคิดว่าทุกคนต้องมีหน้ากากฯ เพราะกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยของไทยอยู่ที่วันละ 1.2 ล้านชิ้น(โรงงานผลิตกำลังปรับไลน์ผลิตคาดจะเพิ่มได้เป็น 2 ล้านชิ้นต่อวันในเร็ว ๆนี้) ขณะที่คนไทยมี 65 ล้านคน ดังนั้นการที่เราไปสื่อสารความหมายผิดตั้งแต่แรกที่บอกว่าทุกคนต้องมีหน้ากากฯ ใช้ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถ้าจะให้คนทั้งประเทศที่มี 65 ล้านคนใช้หน้ากากอนามัย 65 ล้านชิ้นต่อวันเป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้นสิ่งที่หลาย ๆ หน่วยงานสื่อออกไปนั้น เราเดินทางผิดตั้งแต่เริ่มต้น แต่ทำอย่างไรได้เพราะภารกิจถูกรับมอบให้ปฎิบัติไปแล้ว  โดยครั้งแรก การบริหารแบบไม่เข้มข้น ยังถ้อยทีถ้อยอาศัย จัดสรรปันส่วนแต่ให้ความสำคัญกับแพทย์ คนที่ใกล้ชิดคนป่วย คนที่จำเป็นต้องใช้ เช่น คนป่วย  ซึ่งที่ผ่านมาไม่เพียงพอปัญหาก็ตามมา ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้หน้าหากเข้าไปสู่วงจรนี้ สุดท้ายก็ไปเอามาบริหารจัดการเอง 1.2 ล้านชิ้น ว่าจะให้ใครเป็นลำดับแรก คือ ให้โรงพยาบาล คนป่วย หมอ พยาบาล 7 แสนชิ้น

 และในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์เอามาบริหารเอง 5 แสนชิ้น ที่ต้องบริการคน 65ล้ านคน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม้ตะเกียบชิ้นเดียวหรือไม้จิ้มฟันอีนเดียวไปงัดไม้ซุง ซึ่งผมบอกว่างานนี้มันพูดไม่ได้เพราะเป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ผมบอกว่าจับภูเขายันครกยังง่ายกว่า ที่จะให้คนมีหน้ากากอนามัยใช้ เข็นครกขึ้นภูเขาว่ายากแล้ว ผมกำลังถูกมอบหมายให้จับภูเขายัดครก เพราะฉะนั้นก็ต้องยอม ทุ่มเททุกวิถีทาง ผมต้องเป็นผู้บริหารจัดการด้านการตลาด ของโรงงาน 11 โรง ที่ต้องส่งคนเข้าไปคุมทุกโรงต้องเป็นคนสั่งจ่ายของออกจากโรงงานทุกชิ้น และต้องไปหาคนซื้อรับออเดอร์จากทุกรายที่เป็นโรงพยาบาล ร้านค้า ฯ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น  จากเมื่อก่อนที่ 11 โรงงานทำเอง กระจายสินค้าเอง ทุกอย่างกับรวบมาอยู่ในมืออธิบดีกรมการค้าภายใน ที่เป็นผู้จัดการฝ่ายผลิต11โรงงาน  เป็นทั้งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ทั้งภาคโรงพยาบาล ค้าปลีก เป็นผู้ดูแลการขนส่งทั้งจากต้นทางไปปลายทาง ซึ่งแต่ละอย่างไม่มีเครื่องมือเครื่องไม้ของตัวเองเลย แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีระดับหนึ่ง ไม่บอกว่าดีมาก

“15 ล้านชิ้นที่ผ่านมา ที่ผ่านมาบริหารตั้งแต่วันที่ 7-15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไปอยู่ในมือวงการสาธารณสุข 8.5 ล้านชิ้น  ผ่านร้านธงฟ้า แม็คโคร โลตัส  ร้านขายยา การบินไทย การท่าอากาศยาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ประมาณ 7 ล้านชิ้น นี้คืออดีตที่เคยบริหารแบบนี้”

-ติดใจเรื่อง 200 ล้านชิ้น

ติดใจเรื่องเดียว คือ 200 ล้านชิ้นอยู่ตรงไหน ซึ่งตรงนี้ผมอธิบายหลายรอบมาก แต่แปลกเวลาพูดเรื่องจริงแล้ว คนไม่เชื่อ หากแต่ยังมีความคิดความเชื่อที่จะเอาเรื่องหลอกลวงมาขยายผล เรื่อง 200 ล้านชิ้นไม่ได้หมายความว่ามันมีหน้ากาก 200 ล้านชิ้น แต่มันคือสต๊อกวัตถุดิบ ที่คาดการณ์ว่าจะผลิตได้ประมาณ 4 เดือน หรือผลิตได้เดือนละ 50 ล้านชิ้นก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส และประเด็นการส่งออกที่เลี่ยงไม่ได้กับหน้ากากอนามัยที่ติดเงื่อนไขและลิขสิทธิ์ ซึ่งไม่สามารถใช้ได้ในประเทศศซึ่งเราก็ต้องให้เขาส่งออกเพราะไม่เช่นนั้นไทยจะเชิญนักลงทุนเข้ามาลงทุนทำไม หากนักลงทุนลงทุนแล้วส่งออกไม่ได้ภายใต้เงื่อนไข BOI ที่ขอส่งเสริมลงทุนผลิตเพื่อส่งออก

-ยื่นหนังสือลาออกแล้ว

ทั้งนี้ผมได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่อนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แล้วในวันที่ 16 มีนาคม 2563 และหากปลัดเซ็นอนุมัติก็จะมีผลในวันที่ 23 เมษายน และจะใช้สิทธิ์ลาพักร้อน 1 เดือน

 “ยืนยันว่าทุ่มเททำงานถึงที่สุดแล้ว และไม่มีการหาผลประโยชน์กับเรื่องนี้ คงความสามารถไม่ถึง คงจะต้องพิจารณาตนเอง ซึ่งได้ยื่นหนังสือลาออกตามระเบียบราชการแล้ว แต่จะมีผลวันไหนขึ้นอยู่กับปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเซ็นอนุมัติให้มีผลลาออกวันไหน แต่วันนี้รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาก้อนใหญ่ออกจากอก การลาออกครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการปกป้องศักดิ์ศรี ผมไม่ใช่ลูกบอลที่จะเตะไปทางนั้นทีทางนี้ที หลังจากนี้ข้าราชการจะต้องตั้งหลักให้ดี เพราะเป็นงานยาก และที่น่าเป็นห่วง คือ สินค้าอุปโภคบริโภค หากยิ่งมีการปั่นกระแส สถานการณ์จะผิดปกติเช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยและยืนยันว่าตลอดอายุราชการ 36 ปีที่อยู่ภายในกระทรวงพาณิชย์มาโดยตลอดได้ทำงานทุกอย่างทุกเรื่องกับข้าราชการทุกระดับชั้นอย่างมุ่งมั่นและความโปร่งใส ทุกเรื่องสามารถตรวจสอบได้

-ไม่ถอดฟ้องโฆษกกรมศุลฯ

ส่วนคดีที่ได้ฟ้องโฆษกกรมศุลกากร ไปก่อนหน้านั้นก็ยังปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการตามกฎหมาย เพราะสิ่งที่โฆษกฯให้ข้อมูลไปนั้นก็กระจายออกไปในวงกว้างผู้ที่เสียหาย คือ กรมการค้าภายใน ยืนยันว่าแม้จะลาออกไปก็ไม่ถอนฟ้อง รวมทั้งย้ำว่าการอนุญาตให้ส่งออกก็เป็นไปตามกฎหมายที่ต้องอนุญาตให้ส่งออกตามเงื่อนไขที่ได้ชี้แจงมาโดยตลอด เช่น ส่งออกเพราะบริษัทลงทุนภายใต้การสนับนุนของสำนักงานส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ส่งออกเพราะโรงงานนั้นๆ ผลิตตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นหน้ากากที่ประเทศไทยไม่ได้ใช้ มียี่ห้อหรือลิขสิทธิ์ ประเทศไทยจะนำมาใช้เองไม่ได้ ซึ่งอธิบายไปแล้ว แต่ถ้าคนไม่เปิดใจไม่อยากรับรู้ก็จะไม่ฟังแต่ยืนยันว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว

เหมือนยกภูเขาออกจากอก

ตอนนี้หมดความเครียด โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ส่วนจะเป็นธรรมหรือไม่ที่ถูกย้าย สังคมจะรับรู้เอง ตั้งแต่เข้ามาทำงานในกรมการค้าภายใน ภูมิใจกับทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายและทำงานแบบทุ่มเททุกเรื่อง

ปลัดพาณิชย์ยันยังไม่เห็นหนังสือลาออก

ด้านนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นหนังสือลาออกของอธิบดีกรมการค้าภายในวันนี้และน่าจะเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ แต่รู้สึกเสียดาย เพราะเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหลายด้านอย่างมาก ซึ่งในส่วนของภารกิจของกรมการค้าภายในจะใช้ทีมวอร์รูมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมีผมเป็นประธานทำงานร่วมกับกรมการค้าภายในบริหารจัดการหน้ากากอนามัย รวมถึงเจลล้างมือ และเตรียมความพร้อมดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างใกล้ชิดในด้านปริมาณและราคา  โดยเฉพาะประชาชน เริ่มไปซื้ออาหารสำเร็จรูปและของใช้กักตุน แต่ขอย้ำว่าประเทศไทยไม่มีวันขาดแคลนของกิน ของใช้ เพราะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก และได้ย้ำให้ห้างทุกแห่ง ปรับแผนเตรียมของรองรับไม่ให้ว่างจากชั้นวางสินค้าให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันประชาชนยังมีทางเลือกซื้อผ่านออนไลน์ที่ทุกห้างมีให้บริการแล้ว