นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังนายอัทสึชิ ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) และคณะเข้าพบว่า เจโทรได้เข้ามารายงานผลสำรวจเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด19) ต่อบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งทำการสำรวจโดยหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 5-13 กุมภาพันธ์ 2563ที่เป็นสมาชิกหลักจำนวน 47 บริษัท โดยมีการตอบกลับมา 40 บริษัท พบว่ามีบริษัทที่ได้รับผลกระทบเชิงลบบ้างแล้ว 50% เป็นภาคอุตสาหกรรมการผลิตถึง 52 %
ทั้งนี้ ผลกระทบโควิด 19 ที่มีผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทญี่ปุ่นในไทยนั้น เริ่มมีผลทำให้ยอดขายลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง การจัดหาชิ้นส่วนวัตถุดิบ วัตถุดิบขั้นกลางและสินค้าสำเร็จรูปจากประเทศจีนล่าช้าและยากลำบากมากขึ้น การบริโภคชะลอตัวเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาไทยลดลง ปริมาณชิ้นส่วน วัตถุดิบ วัตถุดิบขั้นกลางที่ส่งออกไปจีนลดลง ปริมาณยอดขายสินค้าสำเร็จรูปของบริษัทลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของตลาดจีน
อย่างไรก็ดี บริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ในการจัดหาวัตถุดิบ เริ่มมีการพิจารณา หาวัตถุดิบ หรือสินค้าจากประเทศอื่นนอกจากจีน และบางส่วนกำลังพิจารณาจัดหาวัตถุดิบหรือสินค้าจากโรงงานอื่นในประเทศจีนที่ไม่ได้รับผลกระทบเป็นต้น โดยได้มีการสั่งห้ามเดินทางไปยังประเทศจีน 55% อนุญาตโดยมีเงื่อนไขเช่นกรณีมีธุระเร่งด่วน 43% หากกลับจากการเดินทางให้สวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลา 14 วัน และเฝ้ารอดูอาการอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม โควิด19 ได้ให้ผลกระทบเชิงบวกในด้านความต้องการสินค้าบางประเภท เช่น หน้ากากอนามัย บริการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโควิด19 มีเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีการผลิตสินค้า ชิ้นส่วนและวัตถุดิบต่างๆในไทยเพื่อทดแทนการผลิตในจีน โอกาสในการจำหน่ายสินค้าทดแทนสินค้าของซัพพลายเออร์จีนมีมากขึ้น การย้ายกำลังผลิตออกจากจีนมีมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทญี่ปุ่นในช่วงนี้
นอกจากนี้ในการสำรวจพบว่า บริษัทส่วนใหญ่ได้มีการแจกหน้ากากอนามัย กวดขันให้พนักงานล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอด การจัดให้มีการวัดอุณหภูมิร่างกาย การพิจารณาและจัดเตรียมระบบการทำงานจากที่บ้าน การจำกัดหรือยกเลิกอีเว้นท์ต่างๆซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก หากพบว่าร่างกายผิดปกติให้พนักงานไปรับการตรวจสอบที่สถานพยาบาลและรายงานให้หัวหน้างานรับทราบทันที
“บริษัทส่วนใหญ่ได้มีการเข้มงวดให้ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงานดูแลสุขภาพ ทำความสะอาดมือด้วยการล้างด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ กรณีผู้ที่มีอาการไอจาม ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และได้มีการติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด”
นายภานุวัฒน์ กล่าวว่า การสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจก่อนที่โควิด19จะขยายไปในวงกว้าง ดังนั้นทางเจโทรจะมีการเข้ามารายงานผลสำรวจใหม่อีกครั้งในเร็วๆนี้ เพื่อรายงานถึงผลกระทบล่าสุดที่เกิดขึ้น แต่เบื้องต้นยังไม่ได้รับการรายงานว่ามีการย้ายฐานการผลิต หรือปิดกิจการในไทย โดยนักลงทุนยังมองว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนและมีความเชื่อมั่นว่าไทยจะสามารถควบคุมการกระจายโควิด19ได้เป็นอย่างดีเนื่องจากมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถและอุปกรณ์ทันสมัย สามารถป้องกันการแพร่กระจายโควิด19ได้เป็นอย่างดี โดยคาดว่าในกลางปีนี้ทุกอย่างจะกลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง