แผนผลักดัน 41 โครงการขนาดใหญ่ มูลค่า 7.49 แสนล้านบาท ลงทุนรูปแบบพีพีพี หรือเอกชนร่วมลงทุนกับรัฐ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ นั้น ต้องยอมรับว่าหากขับเคลื่อนได้จริง ทุกโครงการจะช่วยให้เศรษฐกิจกระเตื้องได้ แม้พิษไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 จะซึมลึกแบบถอนรากถอนโคนก็ตาม แต่หลายคนตั้งคำถาม จะประมูลได้สักกี่โครงการภายในปีนี้
เนื่องจากมีหลายโปรเจ็กต์เพิ่งเริ่มศึกษา บางโครงการวงเงินลงทุนไม่ชัดเจน การประเมินตัวเลขผลตอบแทนยังไม่ปรากฏออกมา เป็นเหตุให้ต้องนำโครงการกลับไปดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งมีมากถึง14 โครงการ อย่างทางหลวงพิเศษ(มอเตอร์เวย์)(M8) นครปฐม-ชะอำ แม้จะมีเอกชนสนใจ เพราะมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูง สามารถแบ่งเบาภาระจราจร บนถนนพระราม 2 และเพชรเกษม ลงสู่ภาคใต้คล่องตัวขึ้นก็ตาม แต่ปัญหาใหญ่ชาวบ้านไม่ต้องการให้ทางเส้นนี้ทำลายวิถีที่เคยเป็นมา
โดยเฉพาะข้อถกเถียงเกี่ยวกับการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ บริเวณที่ตัดผ่านป่าชายเลน ขณะพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.)เวนคืนยังไม่ประกาศใช้ แต่ทุนใหญ่อย่าง บีทีเอสกรุ๊ป สนใจโครงการนี้ ระยะยาวมีความคุ้มค่าแม้ว่าจะมีอุปสรรคต้องรอเวลาก็ตาม ขณะมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข รังสิต-บางปะอิน(M5) ต้องยกให้เจ้าถิ่นอย่าง บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน) ของตระกูลพานิชชีวะ เช่นเดียวกับ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ เส้นนี้เชื่อว่าทุกค่ายคงต้องหลีกทางให้บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม
เพราะลงทุน และสัมปทานเดินรถสายสีน้ำเงิน และสายสีม่วงของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ใน ขณะนี้ ดังนั้นความชำนาญจึงมีมากกว่า ขณะสายสีส้มตะวันตก มีหลายค่ายให้ความสนใจ ทั้ง บีทีเอส บีอีเอ็ม รวมถึงต่างชาติโดยเฉพาะจีน ทำให้ต้องลุ้นกันพอสมควร สำหรับรถไฟฟ้าที่จะนำออกประมูล พร้อมที่สุดใน ปีนี้ มีสายสีส้มตะวันตก เพียงสายเดียว นอกนั้น อาจเจอโรคเลื่อน ขณะทางด่วน-อุโมงค์กะทู้-ป่าตองของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) กลับไม่ได้รับความนิยมจากเอกชนเนื่องจากมองว่าระยะทางสั้นเกินไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าโครงการใหญ่เมื่อใช้ รูปแบบพีพีพี จะมีไม่กี่ค่ายที่ได้งาน
หน้า 5 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,557 วันที่ 15-18 มีนาคม พ.ศ. 2563