หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้มาตรการ “Circuit Breaker” พักการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที เมื่อวานนี้ ( 12 มีนาคม ) หลัง SET Index ดิ่งลงแตะระดับ -10% ก่อนที่ดัชนีหุ้นไทยจะปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ จุด ขณะที่การซื้อขายหุ้นไทยภาคเช้าวันนี้ ( 13 มีนาคม ) ดัชนีปรับลดลงทันที 106 จุด จากนั้นปรับลดลงต่อถึง 111.52 จุด หรือ -10% อยู่ที่ 1,003.39 จุด ส่งผลให้ตลท.ประกาศหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์) ครั้งที่ 1 ระยะเวลา 30 นาที ตั้งแต่เวลา 09:59 ถึง 10:29 น. หลังจากเปิดการซื้อขายอีกครั้ง ดัชนีปรับลดลงต่อเนื่อง ณ เวลา 10.37 น. อยู่ที่ 977.10 จุด ลดลง 137.81 จุด หรือ 12.36% หลุด 1,000 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 145.83 จุด หรือ 13.07% อยู่ที่ 969.08 จุด
ก่อนที่ดัชนีหุ้นไทยจะดีดตัวโดยปิดภาคเช้า ปรับลดลง 10.95 จุด หรือ - 0.98% ปิดที่ 1,103.96 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 73,954.61 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ถึงแม้แนวโน้มตลาดระยะสั้นยังมีความผันผวนสูง แต่หากเป็นการลงทุนระยะยาว เชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี อิงจากสถิติหุ้นไทยที่เคยถูกใช้มาตรการ “Circuit Breaker” มาแล้ว 3 ครั้ง SET Index จะใช้เวลาประมาณ 5-7 เดือนจึงกลับมาฟื้นตัวมาที่จุดเดิม หรือแสดงนัยว่าหากเราลงทุนซื้อหุ้น ณ SET Index ระดับปัจจุบันจะมี upside ประมาณ 10% ในช่วง 5-7 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ราคาหุ้นหลายตัวในตลาดปรับตัวลงหนักมากราวกับว่าบริษัทนั้นกำลังจะปิดกิจการ ซึ่งเรามองว่านักลงทุนอาจตื่นตระหนก เกินกว่าสภาพความจริงที่เป็นอยู่ เรายังคงมองตลาดที่ปรับตัวลงเป็นจังหวะในการลงทุน เพียงแต่เราแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ทยอยสะสมแบบแบ่งซื้อ เพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยเกาะไปกับราคาตลาดให้มากที่สุด (เนื่องจากการคาดการณ์จุดต่ำสุดของตลาด ณ ขณะนี้เป็นเรื่องยาก)
เน้นหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่ราคาปรับตัวลงมามากมี Upside มากกว่า 40% ซึ่งเชื่อว่านอกจากจะสามารถฟันฝ่าสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้แล้ว คาดจะเป็นเป้าลงทุนหลักของกองทุน SSF พิเศษที่จะเริ่มขายและลงทุนได้ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป แนะนำ AOT (เป้าพื้นฐาน 74 บาท), BAM (29 บาท), BDMS (27 บาท), BTS (15.1 บาท), CPALL (91 บาท) และ VGI (10.7 บาท) นอกจากนี้เรายังมองเป็นโอกาสในการเก็บหุ้นปันผลดีด้วย แนะนำ AP (8.6 บาท), BTSGIF (10 บาท), INTUCH (70 บาท), KKP (85 บาท), SABINA (26.5 บาท), SPALI (22.6 บาท) และ TVO (34 บาท)