หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากอดคอดิ่ง กังวลมาตรการลดค่าไฟฟ้าฉุดกำไร

12 มี.ค. 2563 | 08:02 น.

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากอดคอร่วง อ่วมพิษโควิท-19 และมาตรการรัฐลดค่าไฟฟ้า  บล.กสิกรไทยยังคงมุมมอง “บวก”  จากต้นทุนหลักราคาก๊าซปรับลดลงชดเชยผลกระทบของค่าไฟฟ้า เลือก GULF, BGRIM และ RATCH  เป็นหุ้นเด่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ GULF ปิดภาคเช้าวันนี้ (12 มี.ค.) ลดลง 19.00 บาท หรือ –12.54 % มาสู่ระดับ 132.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,300 ล้านบาท ต่อเนื่องจากเมื่อวานที่ปิดลดลง 17 บาท หรือ -10.09% มาอยู่ระดับ 151.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,338.54 ล้านบาทหรือรวม 2 วัน ( 11-12 มี.ค. ) หุ้น GULF ปรับลดลง 36 บาท หรือ –21.36 %  

บริษัทบี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM เช้านี้ปรับลดลง 3.25 บาท -8.67% ปิดที่  34.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 591.28 ล้านบาทต่อเนื่องจากเมื่อวานปิดลบ  5.75 บาทหรือ-13.29 % สู่ระดับ 37.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย1,958.05 ล้านบาท  หุ้น BGRIM ร่วงตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.เป็นต้นมา ภายใน 1สัปดาห์ปรับลดลง 30.46 %

บริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)GPSC ปิดตลาดเช้าปรับลดลง -5.25 บาท  หรือ -9.17% ยืนที่ 52.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 684.25 ล้านบาท ร่วงจากเมื่อวานที่ปิดตลาดปรับลด 5.25 บาท หรือ -8.40% สู่ระดับ 57.25บาท มูลค่าซื้อขาย 1,778.87 ล้านบาท  2 วัน หุ้น GPSC ปรับลดลง 16.8%

นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า จากความวิตกการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19 )ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยที่เร่งขึ้น และจากมาตรการช่วยเหลือประชาชน เรื่องการลดค่าไฟฟ้า (ตรึงอัตราค่าเอฟที เดือนพ.ค.2563 ในอัตราลดลง 11.60 สตางค์ต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 3%  ตั้งแต่เม.ย.-มิ.ย.2563)

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย  (KS )ระบุว่า มาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านนโยบายของกลุ่มผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SPP แต่ผลกระทบต่อประมาณการยังอยู่ในวงแคบ

KS ยังคงมุมมอง“บวก” ต่อกลุ่มสาธารณูปโภคพลังงานหลัก มองเป็น” กลาง” ต่อกลุ่มพลังงานทดแทน  โดยราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหลักเมื่อวานนี้ ( 11 มี.ค. ) ปรับลดลง 5-10% นับว่าสะท้อนความเสี่ยงทางนโยบายต่อการเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าไปมากแล้ว  ซึ่งความเสี่ยงด้านนโยบายของกลุ่มผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SPP ผลกระทบต่อประมาณการยังอยู่ในวงแคบ

นอกจากนี้ภาพของกลุ่มก็มีโครงการพัฒนาอีกมากที่จะช่วยกระตุ้นกำลังการผลิตขึ้น  ซึ่งจะเป็นส่วนที่สร้างความมั่นใจแก่การเติบโตระยะยาวได้  ขณะที่การปรับลดลงของต้นทุนก๊าซในช่วงหลังก็อาจชดเชยผลกระทบของค่าไฟฟ้าที่ลดลงในระยะสั้นได้   เหตุนี้จึงคงมุมมองเป็น “บวก” ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก    เลือก GULF ( ราคาเป้าหมาย 177 บาท )   BGRIM (ราคาเป้าหมาย 52.25 บาท )  และ RATCH  ( ราคาเป้าหมาย 75.75 บาท ) เป็นหุ้นเด่น

ผู้บริหาร GULF นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน กล่าวยืนยันว่า ผลจากมาตรการดังกล่าว กระทบต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างไม่มีนัยสำคัญหรือประมาณ 50 ล้านบาท คิดเป็น 1.02 %เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในปี 2562นอกจากนี้สถานการณ์ปัจจุบันราคาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มจะปรับลดลงตามการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกโดยจะส่งผลให้ต้นทุน ก๊าซฯซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทลดลงด้วยเช่นกัน เป็นผลดีต่อผลประกอบการของบริษัท

ด้านนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่ามาตรการปรับลดค่าไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 3 เดือนนี้ บริษัทประเมินผลกระทบต่อรายได้รวมทั้งปีในอัตราเพียงร้อยละ 0.17 เนื่องจากเป็นมาตรการชั่วคราว และไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 77 ของรายได้รวม ขณะที่ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนหลักของบริษัทที่มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของต้นทุนรวม ก็มีโอกาสจะปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากแนวโน้มการปรับตัวลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ

โดยราคาเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 มีการปรับตัวลงถึงร้อยละ 9 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทประเมินว่าจะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทราวร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 2,331 ล้านบาทในปี 2562

เช่นเดียวกับบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า บริษัทได้ประเมินแล้วพบว่ามาตรการดังกล่าว ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัท   นอกจากนี้จากสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนการผลิตหลักปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัท