TMB Analytics ชี้พิษโคโรนา ฉุดการค้า-ห่วงโซ่การผลิตไทย 2.4 แสนล้าน

11 มี.ค. 2563 | 11:59 น.

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ไวรัสโควิด-19 ขวิดการค้าและห่วงโซ่การผลิตไทยเสียหาย 2.4 แสนล้านบาท ครึ่งปีแรกเจ็บหนักแต่พอรับได้ ชี้หากยืดเยื้อเกินกว่าครึ่งปีแรก จะส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบให้สูงขึ้นและอาจช็อคการจ้างงานในประเทศได้

การระบาดของไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ยังคงขยายวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อนอกจีนเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกขยับสูงขึ้นทะลุแสนรายและมีแนวโน้มที่สถานการณ์จะไม่คลี่คลายได้โดยเร็วส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจทั่วโลก ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนสู่ระดับ 5.6% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นซัพพลายเชนจากจีน ที่ผู้ผลิตจีนจำเป็นต้องหยุดการผลิตเพื่อลดการแพร่ระบาด ซึ่งปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้ารวมของไทยพึ่งพิงตลาดจีนถึง 16% ของการค้ารวม และมีมูลค่าสูง 2.5 ล้านล้านบาท โดยเป็นการนำเข้า 61% และการส่งออก 39% ของมูลค่าการค้าไปจีนรวม ดังนั้นผลกระทบจากการชัตดาวน์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อ “ซัพพลายเชนการค้ากับจีนฝั่งผู้นำเข้ามากกกว่าฝั่งผู้ส่งออก”

TMB Analytics ชี้พิษโคโรนา ฉุดการค้า-ห่วงโซ่การผลิตไทย 2.4 แสนล้าน

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินผลกระทบต่อภาคการค้าไทย-จีนจากการที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการเข้มงวดชัตดาวน์ประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด จะทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2563 มูลค่าการค้าไทยไปจีนลดลงราว 2.4 แสนล้านบาท หรือหดตัว 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 1.6% ของมูลค่าการค้ารวม และคาดว่าการค้าไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง โดยสินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบสูง คือ เคมีภัณฑ์(ลดลง 22.7พันล้านบาท)ยางพารา (ลดลง 15.2 พันล้านบาท) และสินค้าเกษตร(ลดลง 8.0 พันล้านบาท) โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของเกษตรกรและแรงงานที่อยู่ในภาคการผลิตสินค้าวัตถุดิบที่เน้นส่งออกไปยังตลาดจีน

ขณะที่สินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ (ลดลง 53.4พันล้านบาท)เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (ลดลง 26.8 พันล้านบาท) และเครื่องจักรและชิ้นส่วน (ลดลง 15.9 พันล้านบาท)โดยเฉพาะสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามาบริโภคในประเทศและส่วนหนึ่งเป็นสินค้าวัตถุดิบต้นทุนต่ำจากจีนที่ผู้ประกอบการนำเข้ามาเพื่อผลิตแล้วขายในประเทศหรือส่งออกต่อ ซึ่งผู้ผลิตที่นำเข้าวัตถุดิบจากจีนจำเป็นต้องหาแหล่งนำเข้าอื่นๆ เพื่อชดเชยในช่วงครึ่งปีแรกที่วัตถุดิบจากจีนหายไป โดยประเมินว่า การผลิตในจีนจะหดตัวอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกและน่าจะกระทบต่อเนื่องมาถึงไตรมาสสอง ซึ่งผลของการขาดแคลนสินค้าวัตถุดิบจะไม่กระทบต่อการผลิตในระยะสั้นๆ มากนัก เพราะผู้ผลิตยังพอผลิตสินค้าได้จากสต๊อกของวัตถุดิบที่ยังคงเหลืออยู่บ้างและอาจหันไปสั่งซื้อจากซัพพลายเชนประเทศอื่นๆ ทดแทน แต่ต้องยอมรับว่าการหาวัตถุดิบจากแหล่งใหม่ต้นทุนจะสูงขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยวิเคราะห์ผ่านโครงสร้างรายได้จากการส่งออกและนำเข้าปี 2562 พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจะเป็นผู้นำเข้าและเมื่อเจาะลึกผลกระทบต่อขนาดธุรกิจ พบว่ากว่า 90% ของจำนวนผู้ค้าขายกับจีนจะเป็นกิจการ SMEsซึ่งได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วน 33%ของมูลค่าการค้าไปจีน ในขณะที่10% ของจำนวนผู้ค้าขายกับจีน เป็นกิจการขนาดใหญ่ แต่หากคิดเป็นผลกระทบเชิงมูลค่าการค้าคิดเป็นสัดส่วนถึง 67%ของมูลค่าการค้าไปจีนรวม
 

"ประเมินว่าสถานการณ์การค้ากับจีนจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของ Covid-19 จะค่อยๆ รุนแรงลดลงอย่างไรก็ตาม หากการแพร่ระบาดยืดเยื้อจนทำให้ภาคการผลิตจีนชัตดาวน์ออกไปเกินกว่าครึ่งปีแรก คาดว่าจะส่งผลต่อซัพพลายเชนในประเทศ ทำให้วัตถุดิบขาดแคลน และส่งผลกระทบทำให้ผู้ผลิตที่พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนมีต้นทุนการนำเข้าจากแหล่งอื่นที่สูงขึ้น จนทำให้ผู้ผลิตบางกลุ่มรับไม่ไหว ชะลอการผลิตออกไป ทำให้รายได้ของกิจการลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการจ้างงานในประเทศเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด"