บทความพิเศษโดย:เอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 รัฐบาลเช็กได้เริ่มใช้มาตรการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตหมวดสินค้าบุหรี่ในอัตราใหม่ที่สูงขึ้นประมาณ 3% ส่งผลให้ราคาสินค้าบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบในท้องตลาดคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 10 – 13 คอรูน่า (ประมาณ 15 – 19.5 บาท) ต่อซอง ผู้ค้ารายย่อยที่จัดซื้อหรือนำเข้าบุหรี่ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2563 จะต้องจำหน่ายสินค้าในราคาเดิมจนกว่าสินค้าดังกล่าวจะหมดลง
การขึ้นราคาบุหรี่ในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เช็กที่ราคาบุหรี่จะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 100 คอรูน่าต่อซอง
(ประมาณ 150 บาท) ซึ่งบุหรี่ที่ได้รับความนิยมและขายดีในอันดับต้น ได้แก่ LM Camel และ Viceroy คาดว่า
ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นมาแตะที่ 101 – 113 คอรูน่า (ประมาณ 151.50 – 169.5 บาท) จากเดิมอยู่ที่ประมาณ
88 – 100 คอรูน่า/ซอง ที่ผ่านมาราคาบุหรี่มีการปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 3 คอรูน่า (4.5 บาท) และภายหลังการ
ประกาศขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในครั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ราคาบุหรี่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อยปีละ
4 – 5 คอรูน่าอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ รัฐบาลเช็กมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บภาษี
ในส่วนนี้ประมาณ 9,000 ล้านคอรูน่า (ประมาณ 13,500 ล้านบาท) (เพิ่มจาก 56,000 ล้านคอรูน่า เป็น 65,000
ล้านคอรูน่า)
นอกจากนั้น รัฐบาลเช็กจะเริ่มบังคับใช้มาตรการห้ามจำหน่ายบุหรี่รสเมนทอลตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563
ซึ่งมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของกลุ่มประเทศอียูที่ห้ามจำหน่ายบุหรี่ผสมรสชาติต่าง ๆ ตั้งแต่
ปี 2561 ซึ่งบุหรี่รสเมนทอลก็ถูกจัดอยู่ในสินค้าต้องห้ามกลุ่มนี้ แต่เช็กได้ขยายเวลาในการอนุญาตให้จำหน่าย
สินค้าดังกล่าวมาเป็นเวลา 2 ปี
เช็กถูกจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงสุด 1 ใน 10 อันดับแรกของโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562
ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 7 ของโลก โดยอัตราการสูบบุหรี่ของชาวเช็กเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 2,400 มวนต่อปี
และจำนวนผู้สูบบุหรี่ในเช็กคิดเป็น 24% ของจำนวนประชากรทั้งหมด (หรือประมาณ 2.32 ล้านคน) ในขณะที่
1 ใน 5 ของสถิติผู้เสียชีวิตในประเทศมีสาเหตุจากการสูบหรี่ ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ทั้งหมดของเช็กประชากร
ในช่วงอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่สูบบุหรี่สูงสุด และผู้สูบบุหรี่มากกว่า 11% ของกลุ่มอายุดังกล่าวมีอัตราการ
สูบบุหรี่สูงกว่า 25 มวนต่อวัน นอกจากนั้น ยังสามารถแบ่งกลุ่มผู้สูบบุหรี่ของประชากรเช็กออกเป็น ดังนี้
(1) กลุ่มที่ไม่ได้สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน 54% (2) กลุ่มที่สูบบุหรี่ทุกวัน (25%) (3) กลุ่มที่สูบบุหรี่เป็นครั้งคราว
7% และ (4) กลุ่มที่เคยสูบบุหรี่แต่เลิกแล้ว 17%
เช็กเริ่มใช้กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร สถานบันเทิง และในระบบขนส่งสาธารณะตั้งแต่เดือน
พฤษภาคม 2560 ซึ่งมาตรการดังกล่าวส่งผลให้มีจำนวนผู้สูบบุหรี่และยอดขายบุหรี่ลดลง จากสถิติพบว่า
กลุ่มประชากรอายุ 25 – 44 ปีเลิกสูบบุหรี่ประมาณ 7% ในขณะที่ยอดการสูบบุหรี่ลดลงประมาณ 1 ใน 3
เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบทางสุขภาพและภาระด้านงบประมาณที่รัฐบาลเช็กต้องแบกรับจากการสูบบุหรี่
พบว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการบำบัดผู้ที่ประสงค์จะเลิกสูบบุหรี่มีอัตราเฉลี่ยเท่ากับ 100 – 120 คอรูน่าต่อวัน
ซึ่งเกือบเท่ากับราคาเฉลี่ยของบุหรี่ 1 ซอง โดยบริษัทประกันสุขภาพเช็กให้ความคุ้มครองและสนับสนุน
ค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้ 4,000 คอรูน่าต่อคน ในขณะที่ต้นทุนทางสังคมและภาระด้านงบประมาณที่เกิด
จากการสูบบุหรี่คาดว่าสูงถึง 100,000 ล้านคอรูน่าต่อปี ในขณะที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีบุหรี่และ
ผลิตภัณฑ์ยาสูบยังไม่ครอบคลุมภาระทางงบประมาณในส่วนนี้ได้
มาตรการการขึ้นอัตราภาษีบุหรี่และยาสูบเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราภาษีสินค้าให้โทษ
ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังเช็ก ซึ่งได้เสนอพร้อมกับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้า
ประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอัตรา 13% และภาษีบ่อนการพนันและธุรกิจการพนันในอัตราประมาณ 23-
25% และสินค้าในหมวดการพนันบางรายการ เช่น ล็อตเตอรี่ ได้รับอนุมัติให้ขึ้นภาษีสูงถึง 30% และมาตรการ
ดังกล่าวยังสอดคล้องกับความพยายามของกระทรวงสาธารณสุขเช็กและองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่
ต้องการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของประชาชนเช็ก และเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับการ
เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเดือนที่สูงถึง 50% ในช่วงปี 2552 – 2561
ในขณะที่มีการปรับอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2553
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของเช็กเป็นแบบผสม (combined concept) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือระบบการ
จัดเก็บภาษีตามปริมาณ (specific excise duty) และระบบการจัดเก็บภาษีตามมูลค่า (ad valorem tax)
ซึ่งนับตั้งแต่ปี2561 อัตราภาษีบุหรี่ในส่วนของภาษีตามปริมาณมีอัตราขั้นต่ำอยู่ที่ 1.46 คอรูน่าต่อมวน
(ประมาณ 2.19 บาทต่อมวน) แต่สำหรับบุหรี่ที่ราคาต่ำกว่า 80 คอรูน่าต่อซอง อัตราภาษีจะถูกจัดเก็บขั้นต่ำที่
2.63 คอรูน่าต่อมวน ในขณะที่การจัดเก็บภาษีของบุหรี่ที่มีราคาสูงกว่า 80 คอรูน่าต่อซอง จะถูกจัดเก็บโดย
ระบบภาษีแบบผสมในอัตรา 27% ในขณะที่นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 อัตราภาษีตามปริมาณในอัตราใหม่
มีอัตราขั้นต่ำอยู่ที่ 1.61 คอรูน่าต่อมวน (ประมาณ 2.42 บาทต่อมวน) และในกรณีที่ราคาขายปลีกของบุหรี่
ต่ำกว่า 80 คอรูน่าต่อซอง จะมีการประกันภาษีขั้นต่ำที่อัตรามวนละ 2.90 คอรูน่า ในขณะที่การจัดเก็บ
ภาษีของบุหรี่ที่มีราคาสูงกว่า 80 คอรูน่าต่อซอง จะถูกจัดเก็บโดยระบบภาษีแบบผสมในอัตรา 30%
มาตรการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการพนันถูกมองจากกลุ่มผู้คัดค้านว่า
อาจนำไปสู่การขยายตัวของธุรกิจการขายบุหรี่ สินค้ายาสูบและสุราในตลาดมืด ตลอดจนมาตรการ
ดังกล่าวไม่สามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งฝ่ายผู้คัดค้านยังมองว่า การปรับเพิ่มอัตรา
ภาษีดังกล่าวเป็นความพยายามของรัฐบาลในการแสวงหารายได้ และในขณะเดียวกันรัฐบาลควรหันมาให้
ความสำคัญกับการลดภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นบางประเภทลง ซึ่งก็เป็นปฏิกิริยาและแนวคิดของกลุ่ม
ผู้คัดค้านสอดคล้องกับการคัดค้านการขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าบุหรี่ประเทศอื่น ๆ ในโลกที่เราต่างได้ยินและ
ได้รับฟังมาโดยตลอด