กนอ.เผยมีปริมาณน้ำเพียงพอถึง มิ.ย.

04 มี.ค. 2563 | 10:45 น.

กนอ.หารือร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรรับมือวิกฤติน้ำแล้งพื้นที่อีอีซี คาดมีปริมาณน้ำ151 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะมีแผนใช้น้ำ 141.8 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบุมีน้ำเพียงพอถึงเดือนมิถุนายน

ผู้สื่อข่าวรายงาน(4 มี.ค.2563)ว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ สมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทยและพันธมิตร และสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ร่วมประชุมเตรียมการแก้ปัญหาวิกฤติภัยแล้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อวางแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อีอีซี เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้ภาคอุตสาหกรรม

กนอ.เผยมีปริมาณน้ำเพียงพอถึง มิ.ย.

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ (กนอ.) ประธานการประชุมฯ เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์น้ำต้นทุนที่ได้มาจากการผันน้ำ ปริมาณน้ำฝน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำ ประมาณ 151 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีแผนการใช้น้ำ ประมาณ 141.8 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น จะมีน้ำต้นทุนคงเหลือ ประมาณ 9.8 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีปริมาณที่เพียงพอไปจนถึงสิ้นสุดฤดูแล้งในเดือนมิถุนายน 2563 ประกอบกับ กนอ.มีมาตรการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการใช้ระบบ 3 Rs (Reduce : ลดการใช้ Reuse : นำกลับมาใช้ซ้ำ Recycle : นำกลับมาใช้ใหม่) และขอความร่วมมือผู้ประกอบการลดการใช้น้ำลง 10% ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ปริมาณการใช้น้ำลดลงได้ถึง 14 %

ขณะเดียวกัน ก็มีมาตรการระยะยาวภายหลังสิ้นสุดฤดูแล้งโดยการพัฒนาลุ่มน้ำวังโตนด จังหวัดจันทบุรี โดยการกักเก็บน้ำเพิ่มเติมใน 4 อ่าง ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำประแกด อ่างเก็บน้ำพะวาใหญ่ อ่างเก็บน้ำแก่งหางแมว และอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด รวมปริมาณน้ำ ทั้งสิ้น 308 ล้านลูกบาศก์เมตร เข้าสู่ระบบการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออก โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการพัฒนาอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำวังโตนดแล้วเสร็จได้ภายในเวลา 1 ปี

กนอ.เผยมีปริมาณน้ำเพียงพอถึง มิ.ย.

“ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการบริหารจัดการด้านน้ำอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือฝ่าวิกฤตฝนทิ้งช่วงในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้ โดยให้จัดทำแหล่งเก็บน้ำเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ ซึ่งจากปริมาณน้ำจากอ่างเก็บน้ำหลัก 3 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดระยอง ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ยังมีปริมาณน้ำต้นทุนเพียงพอใช้งานในภาคอุตสาหกรรมจนถึงสิ้นสุดฤดูแล้งนี้ 

 

นางสาวสมจิณณ์  พิลึก  ผู้ว่าการ  กนอ. กล่าวว่า กนอ.ร่วมกับทุกภาคส่วนผลักดันมาตรการเร่งด่วนในการเพิ่มเติมน้ำต้นทุนด้วยการดำเนิน 4 มาตรการ ประกอบด้วย 1.การผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกดเข้าสู่อ่างเก็บน้ำประแสร์ ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ภายในเดือนมีนาคม 2563  2.การใช้ระบบสูบกลับคลองสะพานเพื่อผันน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำประแสร์ 3.การปรับปรุงคลองน้ำแดง เพื่อเพิ่มศักยภาพการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์มายังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และปรับปรุงสถานีสูบน้ำวัดละหารไร่ เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำระยองมาอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 4.การเพิ่มน้ำต้นทุนในนิคมอุตสาหกรรม โดยการนำน้ำจากคลองชากหมากมาผ่านการบำบัด (Waste Water Reverse Osmosis : WWRO ) ซึ่งผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมร่วมกันรับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในส่วนของการดำเนินการ โดยเบื้องต้นจะสามารถผลิตน้ำได้ 14,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะจ่ายค่าน้ำเพิ่มในส่วนนี้เพียงหน่วยละ 2.76 บาทต่อลูกบาศก์เมตร แต่หากมีผู้ประกอบการรายใดที่ไม่เข้าร่วมกับโครงการฯ แต่มีความประสงค์จะใช้น้ำจากมาตรการนี้สามารถขอรับน้ำได้ในราคาต้นทุน อยู่ที่ 72 บาทต่อลูกบาศก์เมตรได้เช่นกัน

กนอ.เผยมีปริมาณน้ำเพียงพอถึง มิ.ย.

กนอ.ได้มีแนวทางการแก้ปัญหาภาวะวิกฤติภัยแล้งในระยะยาว เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤต อันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อไปในอนาคต”