หุ้นปันผล กินบุญเก่า

04 มี.ค. 2563 | 23:05 น.

โบรกฯ เผยหุ้นปันผลได้อานิสงส์จากงบไตรมาส 4 ปี 2562 นักลงทุนมองข้ามปี 2563 ชี้อาจซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวหวังเงินปันผลต่อเนื่อง ส่วนระยะสั้นเข้าซื้อรายตัวจากผลตอบแทนสูง

ความกังวลการระบาดของไวรัสโคโรนา นอกจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ปรากฏว่า พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่่มขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายพื้นที่มากขึ้น รวมถึงผู้เสียชีวิตยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทย และสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน หลังจากปรับลดลงรุนแรงในช่วงก่อนหน้า โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 2 มีนาคม 2563 ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลง 15.45% นักลงทุนต่างชาติอยู่ในสถานะขายสุทธิ 41,278.18 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น ที่เป็นผู้ซื้อสุทธิ 55,468.07 ล้านบาทจากราคาหุ้นที่ปรับลดลง ทำให้มีการซื้อหุ้นที่ราคาถูก พื้นฐานดีเข้ามาสะสม เพื่อรอวันที่สถานการณ์ต่างๆ ทั่วโลกคลี่คลาย อาจจะส่งให้ราคาหุ้นเหล่านั้นกลับมาฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผล ยังคงเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง

 นายคณฆัส จิรเสวีนุ-ประพันธ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสินฯ เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.)ไทยที่ประกาศจ่ายเงินปันผลในช่วงนี้ ได้อานิสงส์จากผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งนักลงทุนหลายคนมองข้ามผลการดำเนินงานของปี 2563 โดยมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว รวมถึงบจ.นั้น มีการประกาศจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกัน อีกกลุ่มจะเป็นการเข้าซื้อหุ้นรายตัวที่ไม่เคยเล่นมาก่อน จากการที่มองว่า มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ค่อนข้างสูงกว่าภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม มองว่า ราคาหุ้นปันผลที่บางตัวปรับเพิ่มขึ้นจากการประกาศจ่ายปันผลเป็นประเด็นรอง ซึ่งประเด็นหลักของการจ่ายเงินปันผลคือ ผลการดำเนินงานมากกว่า หากผลออกมาเป็นบวก และมีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ราคาปรับตัวดีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ แนะนำหุ้นกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผล หากสถานการณ์ร้ายๆ คลี่คลายลงได้เป็นปกติ แนะนำให้ซื้อ หรือ ถือ แต่หากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน และอึมครึม แนะนำให้ขายทำกำไรส่วนต่าง

หุ้นปันผล กินบุญเก่า

ด้านบล.เอเซีย พลัสฯ ระบุว่า บจ.รายงานผลการดำเนินงานปี 2562 สัดส่วน 98% ของมูลค่าตลาดรวม มีกำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 939,000 ล้านบาท ลดลง 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีโอกาสชะลอลงจากทุกๆ องค์ประกอบ ทำให้มีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลงอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 83,000 ล้านบาท เหลือ 918,000 ล้านบาท ลดลง 8.2% ส่งผลให้ EPS ปี 2563 เดิม 95.71 บาทต่อหุ้น ลดลงเหลือ 85.6 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ ประมาณการกำไร บจ.ที่ลดลงถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของตลาดหุ้นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากวิเคราะห์ราคาปัจจุบัน บน Market Earning Yield Gap ภายใต้ EPS ปี 2563 ในระดับต่างๆ 85.6 บาทต่อหุ้น พร้อมกับใช้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 1 ปี ปัจจุบัน ที่ 0.89% จะได้ Market Earning Yield Gap ในช่วง 5.5% ถือว่ากว้างมากเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.28% และอยู่ในระดับเดียวกันกับตอนเศรษฐกิจถดถอยในปี 2556

ขณะเดียวกัน หากประเมินเป้าหมายของดัชนีหุ้นไทยจาก Market Earning Yield Cap ในระดับต่างๆ โดยกำหนดให้ตลาดกลับมาซื้อขายกันบน Market Earning Yield Cap แบบอนุรักษนิยมที่ระดับ 5% บวกกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่อยู่ในระดับต่ำมาก ตามกลไกปกติจะช่วยหนุนให้ตลาดซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้น อยู่ที่ระดับ 17 เท่า และคำนวณเป้าหมายของดัชนีหุ้นไทย ปลายปี 2563 ได้ที่ 1,455 จุด

หน้า 13-14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,554 วันที่ 5-7 มีนาคม 2563