ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงิน ตลาดทุนและการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก จากความกังวลความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต่างหันกลับมาใช้นโยบายดอกเบี้ยตํ่า เพื่อประคองเศรษฐกิจรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ด้วยที่ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงจนถึงระดับตํ่าสุดในประวัติการณ์ที่ 1.00% ด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ภาพรวมการระดมเงินของธนาคารพาณิชย์ในระบบ 14 แห่ง เดือนมกราคม มียอดเงินฝาก 13.04 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.90 แสนล้านบาท หรือ 3.09% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง รวม 10.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.25 แสนล้านบาท หรือ 3.28% ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง 3 แห่ง 1.82 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.51 หมื่นล้านบาท หรือ 1.36% และธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กอีก 6 แห่ง อยู่ที่ 9.53 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.99 ล้านล้านบาท หรือ 4.37%
เมื่อพิจารณารายธนาคารพบว่า บมจ.กรุงศรีอยุธยา เงินฝากเพิ่ม 9.65% วงเงิน 1.40 แสนล้านบาท ตามด้วยบมจ. ธนาคารกรุงเทพ เงินฝากยังเพิ่ม 4.06% วงเงิน 9.12 หมื่นล้านบาท และ กสิกรไทย เพิ่ม 4.82% วงเงิน 9.39 หมื่นล้านบาท ส่วนบมจ.กรุงไทยเพิ่ม 2.39% วงเงิน 5.07 หมื่นล้านบาท ขณะที่ 2 ธนาคารคือ บมจ.ไทยพาณิชย์และธนชาต เงินฝากลดลง 2.37% วงเงิน 5.11 หมื่นล้านบาท 4.25% วงเงิน 3.16 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS9 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ทำให้การรายงานข้อมูลสินเชื่อ มีการปรับจากรายการ “เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สุทธิหรือสินเชื่อสุทธิ” เป็น “เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ” ซึ่งจะบวกรายการที่สำคัญเพิ่มเข้าไป โดยเฉพาะรายการดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ ผลกระทบต่อธนาคารแต่ละแห่งจากมาตรฐาน TFRS 9 แตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบสถานการณ์สินเชื่อเดือนมกราคม 2563 กับข้อมูลสินเชื่อในเดือนก่อนหน้านี้ได้ดังนั้นการติดตามสถานการณ์สินเชื่อ จะต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมในเดือนกุมภาพันธ์ และทำการเปรียบเทียบแรงส่งของสินเชื่อในลักษณะเดือนต่อเดือน (MoM) เพื่อให้อยู่ภายใต้ฐานข้อมูลแบบเดียวกัน
สำหรับสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิเดือนมกราคม 2563 อยู่ที่ 11.90 ล้านล้านบาท ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยอยู่ระหว่างทบทวนตัวเลขอัตราการเติบโตของสินเชื่อทั้งปี จากเดิมที่ประเมินไว้ 3-3.5% แต่แนวโน้มมีโอกาสที่สินเชื่อทั้งปี 2563 จะเติบโตในระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.2% หรืออาจชะลอตัวลงจากปีก่อน
นายเอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้อำนวยการอาวุโสผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด(มหาชน)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลจากธนาคารปรับลดดอกเบี้ยลงทั้งเงินฝากและเงินกู้ ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับตํ่า ทำให้ภาพรวมการแข่งขันเงินฝากช่วงนี้ยังไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นแนวโน้มไหลออก เพราะทั้งระบบมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ สอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อที่ยังชะลอตัวในช่วง 1-2 เดือนแรกของปี คนที่มีเงินฝาก แนะนำให้ถือเงินสดและทองคำบางส่วนอย่างน้อย 15% ช่วงสั้น 3-6 เดือน เพื่อสำรองยามฉุกเฉินหรือรอทิศทางตลาด โดยคาดว่าประมาณไตรมาส 3 น่าจะเริ่มเห็นความต้องการสินเชื่อขยับขึ้น จึงจะเกิดแคมเปญแข่งขันดึงเงินฝากขึ้น
นอกจากนั้นยังมีทางเลือกลงทุนกับกองทุนรวมเพื่อการออม(Super Saving Fund ; SSF) ซึ่งสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหรือตราสารต่างๆ ที่ไม่ใช่ตราสารทุน หรือสำหรับวัยเกษียณอาจจะรอความชัดเจนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(Retirement Mutual Fund :RMF) ซึ่งในตลาดมีกระแสข่าว จะปัดฝุ่นกองทุน RMF เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนวัยเกษียณอายุมีช่องทางเก็บออมระยะยาว
“ตลาดภาพรวมยังผันผวน ซึ่งคนมีเงินเย็น ควรออมเงินระยะสั้น อาจจะฝากประจำ 3-6 เดือนหรือซื้อทองคำ โดยอาจแบ่งสัดส่วน 10-15% ของพอร์ต ที่ผ่านมาเราเห็นการถอนเงินฝากจากแบงก์ออกไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนการระดมเงินฝากนั้น แบงก์ใหญ่แม้จะไม่มีแคมเปญ แต่เป็นทางเลือกหลักของลูกค้า จะเห็นแคมเปญเบาบางเฉพาะแบงก์ขนาดเล็ก ซึ่งไตรมาส 3 น่าจะเห็นทิศทางความต้องการสินเชื่อขยับขึ้น ซึ่งเงินฝากก็น่าจะเริ่มเห็นแคมเปญดึงลูกค้าชัดขึ้น”
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.)กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การคุ้มครองเงินฝากปีนี้จะปรับลดวงเงินคุ้มครองจาก 5 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป แต่ยังครอบคลุมบัญชีเงินฝาก 98.6% ของผู้ฝากทั้งระบบ โดยกำหนด 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน ซึ่งผู้ฝากเงินสามารถถือบัญชีเงินฝาก ทั้งธนาคารพาณิชย์ เครดิตฟองซิเอร์และบริษัทเงินทุนรวม 35 แห่งหรือ 35 บัญชี ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า เงินฝากส่วนใหญ่ของประชาชนมีไม่ถึง 1 ล้านบาทต่อบัญชีอยู่แล้ว ดังนั้นการปรับลดวงเงินคุ้มครอง จึงยังเป็นไปตามกรอบกำหนดไว้เดิม
หน้า 13-14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,554 วันที่ 5-7 มีนาคม 2563