การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วนอกประเทศจีน ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ Covid-19 ได้กระตุ้นความวิตกที่ว่าการระบาดของไวรัสจะกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทาน ผลประกอบการบริษัท และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกมากยิ่งขึ้นจนเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ดังกล่าวกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหนักจนส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2013 บริเวณ 1,689.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.
ตามปกติแล้วราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยง จนกระทั่งปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ดัชนี Dow Jones และ S&P 500 ปรับตัวลดลงถึง 12% และ 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับตัวลงในรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในปี 2008 อย่างไรก็ดี ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นดังเช่นเวลาปกติ แต่กลับดิ่งลงแรงจนแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,562.61 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันศุกร์ที่ 28 ก.พ. จนก่อให้เกิดคำถามในหมู่นักลงทุนทองคำว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? วันนี้ YLG มีคำตอบ
เหตุผลแรกที่เป็นที่มาของการร่วงลงแรงของราคา ได้แก่ แรงขายทางเทคนิคเนื่องจากในช่วงก่อนหน้าราคาพยายามทดสอบกรอบด้านบนหลายครั้งแต่ไม่สามารถผ่านไปได้ ประกอบกับ RSI ในหลาย TF อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป(Overbought) นอกจากนี้ เมื่อราคาทองคำหลุดแนวรับสำคัญจึงเกิดแรงขายตามเพิ่มเติม ขณะที่เหตุผลที่ 2 และถือเป็นเหตุผลสำคัญ ได้แก่ การที่นักลงทุนและเทรดเดอร์จำนวนมากเผชิญกับการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม(Margin call) สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ ดังนั้น จึงทำการเทขายทุกสินทรัพย์ที่สามารถทำได้จนเป็นที่มาของแรงขายทำกำไรในทองคำเพื่อนำเงินไปเติมเงินหลักประกัน รวมถึงชดเชยผลขาดทุนหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงแรง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำดิ่งลงอย่างมากในวันศุกร์นั่นเอง
หากย้อนกลับไปถูกการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต พบว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น เพราะเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้งในช่วงต้นของวิกฤตการเงินในปี 2008 หลัง Lehman Brothers ประเทศล้มละลายในช่วงกลางเดือนก.ย. 2008 ซึ่งเป็นที่มาให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นสหรัฐจนส่งผลให้ S&P 500 ดิ่งลงอย่างหนัก ในครั้งนั้น ราคาทองคำร่วงลงพร้อมกับตลาดหุ้นจากระดับ 868 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 1 ต.ค. 2008 ลงไปแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 710 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 12 พ.ย. 2008
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำเริ่มดีดตัวขึ้นในอีกราว 1 เดือนถัดมา และเข้าสู่วงจรขาขึ้นจนกระทั่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2011 จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการอัดฉีด QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คาดว่านักลงทุนจะกลับมาพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานต่างๆและจะส่งผลให้ราคาทองคำฟื้นตัวได้ในที่สุด