หุ้นก็ร่วง ทองก็ดิ่ง เกิดอะไรขึ้น?

03 มี.ค. 2563 | 11:48 น.

การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วนอกประเทศจีน  ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ  Covid-19 ได้กระตุ้นความวิตกที่ว่าการระบาดของไวรัสจะกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทาน  ผลประกอบการบริษัท  และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกมากยิ่งขึ้นจนเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ  สถานการณ์ดังกล่าวกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหนักจนส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2013 บริเวณ 1,689.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.  

ตามปกติแล้วราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยง   จนกระทั่งปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ดัชนี  Dow Jones และ S&P 500  ปรับตัวลดลงถึง 12% และ 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา  ถือเป็นการปรับตัวลงในรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในปี 2008 อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นดังเช่นเวลาปกติ  แต่กลับดิ่งลงแรงจนแตะระดับต่ำสุดบริเวณ  1,562.61 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันศุกร์ที่ 28 ก.พ.  จนก่อให้เกิดคำถามในหมู่นักลงทุนทองคำว่า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  วันนี้ YLG มีคำตอบ

เหตุผลแรกที่เป็นที่มาของการร่วงลงแรงของราคา  ได้แก่  แรงขายทางเทคนิคเนื่องจากในช่วงก่อนหน้าราคาพยายามทดสอบกรอบด้านบนหลายครั้งแต่ไม่สามารถผ่านไปได้  ประกอบกับ RSI ในหลาย TF อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป(Overbought)  นอกจากนี้  เมื่อราคาทองคำหลุดแนวรับสำคัญจึงเกิดแรงขายตามเพิ่มเติม  ขณะที่เหตุผลที่ 2 และถือเป็นเหตุผลสำคัญ  ได้แก่  การที่นักลงทุนและเทรดเดอร์จำนวนมากเผชิญกับการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม(Margin call) สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ ดังนั้น  จึงทำการเทขายทุกสินทรัพย์ที่สามารถทำได้จนเป็นที่มาของแรงขายทำกำไรในทองคำเพื่อนำเงินไปเติมเงินหลักประกัน  รวมถึงชดเชยผลขาดทุนหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงแรง  จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำดิ่งลงอย่างมากในวันศุกร์นั่นเอง

 หุ้นก็ร่วง  ทองก็ดิ่ง  เกิดอะไรขึ้น?
 

หากย้อนกลับไปถูกการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต  พบว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น  เพราะเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้งในช่วงต้นของวิกฤตการเงินในปี 2008  หลัง Lehman Brothers ประเทศล้มละลายในช่วงกลางเดือนก.ย. 2008  ซึ่งเป็นที่มาให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นสหรัฐจนส่งผลให้ S&P 500 ดิ่งลงอย่างหนัก  ในครั้งนั้น  ราคาทองคำร่วงลงพร้อมกับตลาดหุ้นจากระดับ 868 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 1 ต.ค. 2008 ลงไปแตะระดับต่ำสุดบริเวณ  710 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 12 พ.ย. 2008  

อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำเริ่มดีดตัวขึ้นในอีกราว 1 เดือนถัดมา  และเข้าสู่วงจรขาขึ้นจนกระทั่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2011 จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการอัดฉีด QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  ดังนั้น  หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย  คาดว่านักลงทุนจะกลับมาพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานต่างๆและจะส่งผลให้ราคาทองคำฟื้นตัวได้ในที่สุด