นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า กำลังผลิตและปริมาณขายปี 63 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% จากงวดปี 62 เนื่องจากในช่วงปลายปีจะมีโครงการใหม่ในกลุ่มโอเลฟินส์ 3 แห่ง จะเปิดดำเนินการในรูปแบบเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงการ ORP เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนใน Naphtha Cracker, โครงการโพรพิลีนออกไซด์ และโครงการโพลีออลส์
ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะกลับมาฟื้นตัวได้เป็นปกติในช่วงครึ่งหลังของปี 63 หลังจากที่ในไตรมาส 1/63 ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลทำให้ความต้องการสินค้าลดลง โดยเชื่อว่าสถานการณ์ไวรัสระบาดจะคลี่คลายในช่วงปลายไตรมาส 2/63 อย่างไรก็ดี คาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด)กลุ่มอะโรเมติกส์ในผลิตภัณฑ์เบนซีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากในปี62 อยู่ที่ระดับ 97เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์สเปรดจะอยู่ที่ระดับ 400-450 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่น (GRM) จะอยู่ที่ระดับ 4-5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากในปี 62 อยู่ที่ 3.86 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากมาตราการ IMO ซึ่งภาพรวมจะดีตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นไป แต่ในช่วงไตรมาส1/63 ได้ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
ด้านความคืบหน้าการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯนั้น ล่าสุดอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปกลางปีนี้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ของการลงทุน ซึ่งโครงการดังกล่าวมีความได้เปรียบด้านความสามารถในการแข่งขันทางด้านวัตถุดิบ โดยมีแหล่งวัตถุดิบอีเทนทำให้มีต้นทุนต่ำ ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเอทิลีน 1.5ล้านตันต่อปี และมีกำลังผลิต HDPE/LLDPE 1.6ล้านตันต่อปี โดยบริษัทจะใช้โรงงานที่สหรัฐฯเป็นฐานเพื่อหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการกลุ่มธุรกิจที่มีสินค้าเป็นแบบคุณภาพสูง อีกทั้งจะใช้เป็นการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพบริษัทพัฒนาเทคโนโลยี
ขณะเดียวกันบริษัทมีการลงทุนเพื่อต่อยอดโครงการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
นายคงกระพัน กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันมีการลงทุนในโครงการหลักมูลค่าการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนใน Naphtha Cracker เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบที่บริษัทมีอยู่แล้ว ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิสีน 500,000 ตัน และโพรพิลิน 250,000 ตัน โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ไตรมาส4/63 ซึ่งมูลค่าโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ มีแผนจะลงทุนในพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติมอีกวงเงิน 100,000 ล้านบาท แต่คาดจะใช้เงินลงทุนเพียง 30,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.28 เท่า จึงยังทำให้บริษัทมีความสามารถในการกู้เงินอีกประมาณ 200,000 ล้านบาท
ส่วนโครงการร่วมลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงใน 2 โครงการ ได้แก่ PA9T 13,000 ต้นต่อปี และ HSBC 16,000 ตันต่อปี คาดจะเสร็จในปี 65 โดยสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายเกรดพิเศษ เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์จำกัด (KGC) มูลค่าโครงการประมาณ 15,000 ล้านบาท
“โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟเทล (Polyethylene Terephtalate:PET)ขยายกำลังการผลิตเป็น 200,000ตันต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 147,000ตันต่อปี คาดจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 64 ด้านโครงการ HMPC Line Expansion กำลังผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน 250,000ตันต่อปี จะเริ่มเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังปี 65”
นายคงกระพัน กล่าวต่อไปอีกว่า โครงการพลาสติกรีไซเคิล มีวัตถุประสงค์ในการนำบรรจุภัณฑ์ขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว มาเป็นวัตถุดิบในกระบวนการ Recycle ได้เม็ดพลาสติกคุณภาพสูงระดับ Food-GradeUR Packaging-Grade โดยร่วมมือกับพันธมิตร แอลพลา (ALPLA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับโลก โดยตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO Limited) ที่นิคมเอเชีย มาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกหมุนเวียนคุณภาพสูง ชนิด TPET ขนาด 30,000 ต้นต่อปี และ rHDPE ขนาด 15,000 ต้นต่อปี คาดเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 63 และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 64 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij