TMB ยัน TCAP ไร้ผลกระทบปล่อยสินเชื่อ"เชฟโรเลต"

25 ก.พ. 2563 | 03:57 น.

TMB เผยจากการที่ TCAP ปล่อยสินเชื่อแก่บริษัทในเครือและดีลเลอร์เชฟโรเลต ผลกระทบอยู่ระดับต่ำ อีกทั้งเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันครอบคลุมมูลหนี้ พร้อมได้พิจารณาปรับลดวงเงินสินเชื่อ Floor Plan แก่ดีลเลอร์เชฟโรเลตแต่ละรายตามความเหมาะสมแล้ว

 

นายนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ เลขานุการธนาคารทหารไทยหรือ TMB แจ้งว่าสืบเนื่องจากกรณีที่ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2563 นั้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับข้อสอบถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจได้รับจากเหตุการณ์ดังกล่าว

เนื่องจากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) (ธนาคารธนชาต) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารฯ เป็นผู้ให้บริการ Captive Finance หรือการให้สินเชื่อแก่บริษัทในเครือและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (ดีลเลอร์) ของบริษัท เชฟโรเลต (ประเทศไทย)

ทั้งนี้จากข้อมูล ณวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า ธนาคารธนชาตมีการให้สินเชื่อแก่บริษัทในเครือและดีลเลอร์เชฟโรเลตในสัดส่วนที่ต่ำรายละเอียด ดังนี้

1.สินเชื่อ (Term Loan) ที่ให้กับดีลเลอร์เชฟโรเลต มียอดคงค้างเพียง 23 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.002% ของสินเชื่อรวมทั้งหมดของธนาคารและบริษัทย่อย (งบการเงินรวม) ทั้งยังเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันครอบคลุมมูลค่าหนี้

2.สินเชื่อ Floor Plan หรือ Inventory Financing ซึ่งเป็นวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อการซื้อรถยนต์ สำหรับจัดแสดงและจำหน่าย มียอดคงค้างประมาณ 469 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนเพียง 0.03% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด (งบการเงินรวม) ทั้งนี้ ยอดคงค้างของสินเชื่อ Floor Plan ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ได้จัดโปรโมชั่นก่อนยุติการจัดจำหน่ายรถยนต์ส่งผลให้ดีลเลอร์สามารถ จำหน่ายรถที่นำมาจัดแสดงออกไปได้อย่างรวดเร็ว ธนาคารธนชาตจึงสามารถลดยอดคงค้างของสินเชื่อในส่วนนี้ได้และเชื่อว่าสต๊อก
รถยนต์ของดีลเลอร์จะหมดไปในที่สุด

นอกจากนี้ ธนาคารธนชาตยังได้ดำเนินมาตรการรองรับอย่างทันท่วงที โดยได้พิจารณาปรับลดวงเงินสินเชื่อ Floor Plan สำหรับดีลเลอร์เชฟโรเลตแต่ละรายตามความเหมาะสม และดำเนินการดูแลคุณภาพทั้งลูกค้าดีลเลอร์และลูกค้ารายย่อยอย่างใกล้ชิด และจากการสนับสนุนของเชฟโรเลตที่ยังยืนยันที่จะร่วมมือและให้การสนับสนุนดีลเลอร์หรือศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเชฟโรเลตทั่วประเทศไทยเพื่อให้บริการหลังการขายและดูแลลูกค้าต่อไป

ธนาคารฯ และธนาคารธนชาตจึงประเมินว่าผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับต่ำและธนาคารสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ทีเอ็มบีให้ความสำคัญและดำเนินการดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และมีฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี 2562 ที่ 2.35% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.9% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 14.6% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กำหนดไว้ที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ