ปตท.อัดงบกว่า 1.8 แสนล้านลุยลงทุนปี 63-67

24 ก.พ. 2563 | 07:30 น.

ปตท.เผยเตรียมแผนลงทุนปี 63-67 กว่า 1.8 แสนล้านบาท พร้อมงบลงทุนในอนาคตระยะ 5 ปีข้างหน้า 2.03 แสนล้านบาท

นายชาญศิลป์  ตรีนุชกร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. ได้เตรียมแผนการลงทุนในปี 2563 – 2567 วงเงินรวม 180,814 ล้านบาท และจัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 203,583 ล้านบาท โดยธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นมีแผนขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจ LNG อาทิ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5  โครงการ LNG Receiving Terminal หนองแฟบ และขยายการเติบโตด้วยการลงทุนธุรกิจก๊าซฯ สู่ไฟฟ้า (Gas to Power) โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการดำเนินธุรกิจ LNG แบบครบวงจรและการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขาย LNG ของภูมิภาคอาเซียน 

ปตท.อัดงบกว่า 1.8 แสนล้านลุยลงทุนปี 63-67

สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย จะผลักดันกระบวนการผลิตด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวทาง Circular Economy และขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีความชำนาญและได้เปรียบในการแข่งขันไปสู่การลงทุนในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ในด้านนวัตกรรมและการลงทุนธุรกิจใหม่ ปตท. เตรียมพร้อมพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะ (Smart City Development) โดยเน้นในด้านการบริหารจัดการพลังงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพ และจะขยายการเติบโตด้วยการร่วมทุนหรือซื้อกิจการในธุรกิจพลังงานใหม่ (New Energy) อาทิ ธุรกิจไฟฟ้าครบวงจร พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

 ทั้งนี้  เพื่อเป็นการแสวงหาโอกาสลงทุนในพลังงานรูปแบบใหม่และสร้างธุรกิจใหม่ ปตท. ได้พัฒนาพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เพื่อสร้าง วังจันทร์วัลเลย์ ให้เป็นเมืองนวัตกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทย สนับสนุนแนวคิดทางด้านนวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านการลงทุนประเภท Prototype  เพื่อผลักดันงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์มากขึ้น ได้แก่ การพัฒนาวัสดุปิดแผลจากไบโอเซลลูโลสคอมโพสิต เพื่อช่วยเร่งการรักษาบาดแผลด้วยเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์ของสถาบันนวัตกรรม ปตท. การวิจัยและพัฒนา EV Charger ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้านวัตกรรมของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รวมถึงการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมรถสามล้อไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเป็นต้นแบบยานพาหนะในอนาคต การสนับสนุนการวิจัย VISBAT แบตเตอรี่คุณภาพสูงโดย KVIS เพื่อเป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานต้นแบบสำหรับรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า และการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ให้ต้นทุนยาลดลง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาของรัฐ

นายชาญศิล์ป กล่าวต่อไปว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 รับทราบผลการดำเนินงาน ปตท. และได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 2.2 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 92,951 ล้านบาท คิดเป็น 4.2% ของรายได้   ปรับลดลง 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องมาจากผลกระทบของสงครามทางการค้าโลก ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคชะลอตัวและส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลง  ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศ เงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อการส่งออกและอุตสาหกรรมทั้งภาคการผลิตและภาคขนส่ง

ปตท.อัดงบกว่า 1.8 แสนล้านลุยลงทุนปี 63-67

ทั้งนี้  ส่งผลให้ปริมาณความต้องการพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไม่เติบโตตามเป้าหมาย รวมถึงปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงขนาดใหญ่ประจำงวดตามแผนของกลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่น และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานเพิ่มเติมโดยเปลี่ยนการคิดค่าจ้างอัตราสุดท้ายจาก 300 วันเป็น 400 วันตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ส่งผลให้กลุ่ม ปตท. มีค่าใช้จ่าย 4,219 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี  ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกและภายในที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย กลุ่ม ปตท. ได้แสวงหาโอกาสในขยายการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติรองรับการเติบโตของการผลิตไฟฟ้า การขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการร่วมลงทุนหรือการซื้อกิจการ รวมถึงการปรับพอร์ทการลงทุนโดยขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจต่างๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าตามทิศทางกลยุทธ์การลงทุนที่สอดรับกับแนวโน้มอนาคตไปสู่พลังงานสะอาดและผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูง และช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาตลาดโลกต่อผลประกอบการของกลุ่ม ปตท.

นอกจากนี้  ในปีที่ผ่านมาได้ผลักดันมาตรการปรับปรุงผลประกอบการอย่างต่อเนื่องด้วยการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด  ส่งผลให้งบดำเนินการลดลง 17% เมื่อเทียบกับเป้าหมาย ลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยการนำระบบดิจิทัลมาใช้ บริหารความเสี่ยงราคา และบริหารทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้นผลประกอบการส่วนเพิ่มโดยหลักมาจากการเข้าซื้อบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) ของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนเพิ่มในโครงการบงกช และการเข้าซื้อกิจการของบริษัท Murphy Oil Corporation และบริษัท Partex Holding B.V. ของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)  

นายชาญศิลป์  กล่าวต่ออีกว่า กำไรสุทธิของ ปตท. 92,951 ล้านบาท โดยหลักมาจากกำไรของธุรกิจก๊าซธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33% ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสัดส่วน 34% และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นสัดส่วน 9% ในขณะที่กำไรจากธุรกิจอื่นๆ รวมถึงธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 24% ด้านกำไรในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลง เนื่องจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ราคาขายอ้างอิงราคาปิโตรเคมีซึ่งปรับลดลงมาก ในขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลงตามสถานการณ์โลกดังกล่าวข้างต้น

ปตท.อัดงบกว่า 1.8 แสนล้านลุยลงทุนปี 63-67

“จากความพยายามของกลุ่ม ปตท. จึงทำให้ผลประกอบการใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ ดังนั้นคณะกรรมการ ปตท. จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout ratio) 62.5% ของกำไรสุทธิ และอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่ 4.5% รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 57,126 ล้านบาทสำหรับผลประกอบการปี 2562 ซึ่ง ปตท. ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.9 บาทต่อหุ้นแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2562 และคงเหลือเงินปันผล 1.10 บาทต่อหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายในเดือนเมษายน 2563 ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ ปตท. ในวันที่ 10 เมษายน 2563”

นายชาญศิลป์  กล่าวต่อไปอีกว่า การจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2562 ดังกล่าวส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผล รวมประมาณ 36,145 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินงบประมาณของประเทศนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ชุมชนให้แก่ประเทศ รวมทั้งสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านเงินปันผลจำนวน 20,981 ล้านบาท ให้นักลงทุนสถาบันและผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 1.3 แสนราย

อย่างไรก็ตาม  เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ ปตท. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในการแบ่งเบาภาระต้นทุนด้านพลังงานและค่าครองชีพของประชาชนให้มีอาชีพที่มั่นคงขึ้น  คณะกรรมการ ปตท. จึงได้อนุมัติการบริจาคเงินเข้ากองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในรูปแบบส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจำนวน 50 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2563 โดยใช้งบดำเนินงาน 30 ล้านบาท โดยเป็นความร่วมมือของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ ปตท.