มีรายงานว่า ในการยื่นคำชี้แจงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ต่อศาลนั้น กกต.ได้ให้ข้อมูลว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 62กำหนดที่มารายได้ของพรรคการเมืองไว้ 7 ประเภท เพื่อใช้ในการดำเนินกิจการทางการเมืองตามอุดมการณ์ ไม่มีประเภทรายได้อื่นที่เปิดช่องให้พรรคการเมืองสามารถกู้ยืมเงินมาดำเนินกิจการได้ ประเภทของรายได้ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่แสดงลักษณะเฉพาะของนิติบุคคลตามกฎหมายพรรคการเมือ งซึ่งจะต่างจากนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น หากไม่ใช่เงินรายได้ที่กำหนดไว้ในกฎหมายพรรคการเมืองแล้ว แม้จะเป็นเงินที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็อาจเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพรรคการเมือง
ขณะเดียวกันการที่กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการได้มาของรายได้แต่ละประเภท คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ให้ไว้แตกต่างกัน เช่น รายได้จากเงินบริจาคตามมาตรา 66 มีการกำหนดเงื่อนไขในการให้พรรคการเมืองไว้มากที่สุด รายได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมืองมีเงื่อนไข การให้พรรคการเมืองลดหลั่นลงมา หรือรายได้จากการจำหน่ายสินค้า บริการของพรรคที่มิได้กำหนดเงื่อนไขการให้พรรคไว้แต่อย่างใด ก็เพื่อเป็นหลักประกันถึงความโปร่งใสการได้มาซึ่งรายได้ และการป้องกันมิให้เกิดการกระทำนิติกรรมอำพรางการได้มาซึ่งรายได้ของพรรคการเมือง
ดังนั้น พรรคการเมืองที่หารายได้โดยไม่เป็นไปตามประเภทรายได้ หรือรับเงินโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการได้มาของรายได้ ที่พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กำหนด เงินที่ได้มาจึงไม่เป็นเงินจากแหล่งรายได้ตามที่กฎหมายกำหนดเข้าลักษณะความผิดตามมาตรา 72 กฎหมายเดียวกัน
ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ต่อสู้ว่า พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลเช่นบริษัทเอกชนสามารถที่กู้ยืมเงินได้ โดยมีการเมืองอีก 16 พรรคที่มีการกู้เช่นกันแต่กกต.กลับเลือกปฏิบัติไม่ดำเนินการเอาผิด รวมทั้งเงินกู้ไม่ใช่เงินรายได้ ไม่ใช่บริจาค รวมถึงไม่ใช่ผลประโยชน์อื่นใดหรือเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาไม่ชอบที่จะผิดมาตรา 72 อีกทั้งขั้นตอนการพิจารณาของกกต.เร่งรัด ไม่ถูกต้องไม่ให้โอกาสพรรคในการยื่นเอกสารหลักฐานอย่างเต็มที่ซ้ำเป็นการมุ่งที่จะเอาผิดกับพรรคอนาคตใหม่โดยเฉพาะ