บลจ.ทิสโก้ สั่งลุยเพิ่มทุนกอง TISCOCHA

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา(COVID -19) ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับลดลงประมาณ 5% มาอยู่ที่ 4,000 จุด จากจุดสูงสุดในช่วงต้นปี 2563 ที่ 4,200 จุด ซึ่งบริษัทประเมินว่า การแพร่ระบาดของไวรัสเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้นต่อตลาดหุ้น เพราะด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ของโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และทุกฝ่ายต่างร่วมกันออกมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด คาดว่าน่าจะทำให้ตัวเลขผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลดลงได้ในเร็วๆนี้ 

อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขผู้ป่วยใหม่เริ่มลดลง คาดว่า จะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งเหมือนกรณีโรคซาร์สที่หุ้นจีนปรับเพิ่มขึ้นแรงทันทีที่ตัวเลขผู้ป่วยใหม่เริ่มลดลง และตลาดหุ้นจีนยังได้รับแรงหนุนจากการที่รัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีน(PBoC)ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินผ่านข้อตกลง Reverse Repo มูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องรายวันสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2547 รวมถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะ 7 วัน และ 14 วัน ลงอีก 0.1% เป็น 2.4% และ 2.55% ตามลำดับ ขณะที่การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนจีนยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยนักวิเคราะห์หลายแห่งประเมินว่า บริษัทจดทะเบียนจีนปี 2563 จะเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

นอกจากนั้นที่ผ่านมา บลจ.ทิสโก้พบว่า ลูกค้าเข้าใจในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและยังรอจังหวะที่เหมาะสมในการทยอยเข้าซื้อหุ้นจีน ซึ่งบลจ.ทิสโก้มีกองทุนหุ้นจีนที่น่าสนใจคือกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า A-Shares อิควิตี้ (TISCOCHA)ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นจีน A-Shares ในดัชนี CSI 300 Index ผ่านกองทุนอีทีเอฟ China AMC CSI 300 Index ETF (กองทุนหลัก) ดังนั้น เพื่อตอบรับความต้องการ และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า บลจ.ทิสโก้จึงได้ขยายมูลค่าโครงการกองทุน TISCOCHA จากเดิม 1,000 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท โดยนักลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุน กองทุน TISCOCHA ได้ในทุกวันทำการ มูลค่าลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท  

“บลจ.ทิสโก้มองว่า ในช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะหาจังหวะลงทุนในหุ้นจีน เพราะปัจจุบันอัพไซต์ของหุ้นจีนก็มีอยู่มาก หลังจากปรับลดลงไปประมาณ 5% จากต้นปี อีกทั้งรัฐบาลจีนก็ทยอยออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียนก็ยังเติบโตในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ปัจจัยกดดันอย่างสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ ก็เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี นอกจากนี้ หากกลับไปดูการแพร่ระบาดของโรคซาร์สจะพบว่า เมื่อตัวเลขผู้ป่วยใหม่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในกรณีไวรัสโคโรนาก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่าโรคซาร์สพอสมควร และปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ก้าวไกลไปมาก จึงเชื่อว่าจะมีวิธีการรักษาไวรัสดังกล่าวได้โดยเร็ว และตัวเลขผู้ป่วยใหม่น่าจะเข้าใกล้จุดพีคแล้ว” นายสาห์รัชกล่าว