SMEs ส่งออกพุ่ง 2.3 ล้านล้าน ปี 63 เล็งรุกหนัก 3 ตลาดใหม่

18 ก.พ. 2563 | 05:51 น.

สสว. เผยตัวเลขส่งออกเอสเอ็มอีปี 62 มูลค่าพุ่งกว่า 2.3 ล้านล้านบาท ผลจากการส่งออกสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ไปตลาดส่งออกสำคัญทั้งจีน สหรัฐฯ อียู ขยายตัวเพิ่มขึ้น ปี 63 เดินหน้าขยายตลาดคู่ค้าใหม่ๆ ทั้งเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา

 

ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งอออกของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ในรอบปี 2562 พบว่ามีมูลค่ารวม 75,477.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาท คำนวณที่ 31 บาทต่อดอลลาร์) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.6% และมีสัดส่วนการส่งออกของเอสเอ็มอีต่อการส่งออกรวมของประเทศ คิดเป็น 30.6%  เฉพาะเดือนธันวาคม 2562 มีการส่งออกคิดเป็นมูลค่า 5,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

SMEs ส่งออกพุ่ง 2.3 ล้านล้าน ปี 63 เล็งรุกหนัก 3 ตลาดใหม่

 

โดยมีปัจจัยบวกมาจากตลาดส่งออกสำคัญของ SMEs ส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น จีน สหรัฐอเมริกา ซึ่งขยายตัวอยู่ที่ 11.4% และ 10.1% ตามลำดับ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เพื่อทดแทนสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างกัน (สงครามการค้า) มีการขยายตัว เช่น เม็ดพลาสติก ทองแดงบริสุทธิ์ ยางนอกรถยนต์และยานพาหนะอื่นๆ อุปกรณ์ Solar cell เครื่องคำนวณและประมวลผล ท่อและข้อต่อ ตะปู หมุดที่ทำด้วยเหล็ก รวมทั้ง ฟูก ที่นอน และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ  เช่นเดียวกับตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู) ที่ขยายตัว 2.8%

SMEs ส่งออกพุ่ง 2.3 ล้านล้าน ปี 63 เล็งรุกหนัก 3 ตลาดใหม่

ขณะที่ตลาดในกลุ่มอาเซียนและญี่ปุ่น การส่งออกขยายตัวลดลง 5.9% และ 1.6%  ตามลำดับ ผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำให้คู่ค้าดังกล่าวลดการนำเข้าสินค้าขั้นกลางจากไทยเพื่อไปผลิตและส่งออก รวมถึงผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

 

เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม พบว่า สินค้าส่งออกสำคัญของ SMEs ที่ขยายตัวได้ดีในปี 2562 ได้แก่ กลุ่มผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด และผลไม้แปรรูปต่างๆ ขยายตัวถึง 34.4% กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัว 13.2% กลุ่มเครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า ขยายตัว 1.1% นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ขยายตัว ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ อาหารแปรรูป เครื่องหนัง เป็นต้น

 

สำหรับสถานการณ์ของ SMEs ในปี 2563 คาดว่าในช่วงไตรมาสแรก การส่งออกสินค้าบริการหรือการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 (Covid-19) และการดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของรัฐบาลจีน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลง กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ SMEs ไทย โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจโรงแรม และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร การขนส่ง ศิลปะนันทนาการ ของขวัญของชำร่วย ฯลฯ ซึ่งจากข้อมูลของ สสว. พบว่า รายได้ของธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวทั้งประเทศเกิดจาก SMEs คิดเป็นสัดส่วน 58% จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อประมาณการ GDP ของ SMEs ในไตรมาสแรกของปี 2563 ขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เล็กน้อย

SMEs ส่งออกพุ่ง 2.3 ล้านล้าน ปี 63 เล็งรุกหนัก 3 ตลาดใหม่

อย่างไรก็ดี ผลจากเริ่มมีสัญญาณที่ผ่อนคลายลงของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ขณะที่ค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เหลือ 1% ต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับ สสว. เตรียมดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุน SMEs ในการขยายช่องทางการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศในแถบเอเชียใต้ กลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มแอฟริกา และกลุ่มยุโรปตะวันออก