นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ.ในฐานะผู้แทนประเทศไทย ได้ร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ประเทศญี่ปุ่น จัดทําโครงการความปลอดภัยผลิตภัณฑ์ (Product Safety) ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อถ่ายทอดวิธีการจัดเก็บข้อมูลอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ และการวิเคราะห์ หาสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้แก่เจ้าหน้าที่ สมอ. สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐ.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตลอดจนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของไทยเพื่อนํามาศึกษา และแลกเปลี่ยนข้อมูลในการจัดทําฐานข้อมูลอุบัติเหตุจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคในประเทศไทย รวมถึงการนําข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์วิจัยถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบและรูปธรรม ทํา ให้ทราบถึงสาเหตุและแนวทางในการป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของ ผู้บริโภคในอนาคต
วันชัย พนมชัย
จากความร่วมมือของ สมอ. และ METI มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมผ่านการฝึกอบรมแล้วกว่า 90 ราย ซึ่งการฝึกอบรมดังกล่าวได้เสริมสร้างความรู้ ความสามารถในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้ความร่วมมือในการดําเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของทั้ง 2 ประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นี้ สมอ. จึงได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับ METI เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา เพื่อผนึกกําลังร่วมกันพัฒนางานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาและ จัดทําฐานข้อมูลอุบัติเหตุจากการใช้สินค้าได้อย่างสมบูรณ์และครอบคลุม ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการควบคุม สินค้าออนไลน์ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคของทั้งสองประเทศร่วมกันอีกด้วย นับเป็นการยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
“ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดที่จะดูแลการจัดทําฐานข้อมูล ดังกล่าวโดยตรง สมอ. จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สํานักงานตํารวจแห่งชาติ จัดตั้งคณะทํางานจัดทําฐานข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อประโยชน์ต่อการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศต่อไปในอนาคต”