นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบกลาง ให้กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม หรือมิเตอร์ เพื่อบริหารจัดการและ ควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม จำนวน 372.516 ล้านบาทนั้น ขั้นตอนหลังจากนี้คงต้องดูในรายละเอียดการร่างทีโออาร์เพื่อออกประกาศ ส่วนวิธีการเปิดหาผู้ที่เข้ามาดำเนินการนั้นยังอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะเปิดประมูลแบบใด ระหว่าง e-Auction (อีอ๊อกชั่น) หรือ Electronic Auction คือ การเข้าเสนอราคาในลักษณะประมูลราคาแข่งขันกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือให้สถาบันการศึกษาใดจัดการให้
แต่ทั้งนี้หากมีคนพร้อมประมูลแบบ e-Auction กรมก็เปิดประมูลแบบ e-Auction แต่ถ้าดูแล้วความสามารถหรือความเชี่ยวชาญยังไม่มี โดยเฉพาะเรื่องระบบซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะไม่เช่นนั้นหากได้ผู้ที่ไม่พร้อมเข้ามาดำเนินการก็อาจจะทำให้เสียหายได้ และเสียงบประมาณ กรมต้องมีความละเอียดและรอบคอบในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งจะหารือกับทีมงานและกระทรวงพาณิชย์ว่าจะใช้วิธีการใดจึงจะหมาะสมหรืออาจจะให้มหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาเป็นเจ้าภาพ เพราะต้องยอมรับว่ากรมฯเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องระบบ หรือมาตรวัดต่าง ๆ หรือมิเตอร์ ดังนั้นต้องให้คนที่มีความรู้มาช่วย
“ตอนนี้อยู่ระหว่างร่างทีโออาร์ ซึ่งน่าจะเปิดประกาศได้เร็ว ๆ นี้อย่างเร็วน่าจะสิ้นเดือนนี้ ส่วนกลุ่มที่น่าจะสนใจเข้าร่วมประมูลก็น่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้กรมเองมีศักยภาพในการควบคุมการทำงานเขาได้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและเป็นประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร และประเทศ ต้องหาคนที่เก่งและรู้เรื่องจริง ๆ มาช่วยทำงาน”
ทั้งนี้หากมีการติดตั้งระบบมิเตอร์เสร็จทั้ง 450-500 แท็งค์ ต่อไปกรมจะสามารถรู้ได้ว่าใครนำเข้าหรือส่งออกเท่าไรแบบเรียลไทม์ไม่ต้องรอรายงานที่จะรายงานมาเดือนละครั้ง แต่ระบบมิเตอร์นี้จะเป็นระบบออนไลน์โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรมการค้าภายใน ซึ่งระบบจะส่งสัญญาณมายังศูนย์กลางว่าปริมาณน้ำมันปาล์มเพิ่มลดอย่างไร และทุกปั้มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทั้งขนาดและปริมาณ ซึ่งจะแจ้งมายังศูนย์ 24 ชั่วโมง ส่วนกลางจะรู้ทั้งประเทศว่าขณะนี้มีปริมาณน้ำมันในสต๊อกเท่าใดเป็นรายวันทำให้สามารถบริหารจัดการสต๊อกได้อย่างมีศักยภาพ
กลุ่มเป้าหมายผู้ครอบครองถังเก็บน้ำมันปาล์ม ได้แก่ โรงสกัดน้ำมันปาล์ม โรงกลั้นน้ำมันปาล์ม โรงงานไบโอดีเซล และคลังรับฝาก และมีการเก็บน้ำมันปาล์มเป็นปกติ โดยมีขนาดความจุถังละตั้งแต่ 1,000 ตันขึ้นไป ซึ่งข้อมูลการสำรวจปริมาณถัง ณ วันที่ 22 ส.ค.2562 มีจำนวนถังจัดเก็บน้ำมันปาล์มดิบ ไม่น้อยกว่า 455 ถัง
สำหรับสถานการณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ ในขณะนี้มีลดลงจำนวนมาก จากการนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ยังเหลือถึง 1.3 แสนตัน และนำไปผลิตเชื้อเพลิงพลังงาน ทั้งน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 และ B20 ในวันที่ 1 มีนาคมนี้ กำหนดให้ทุกสถานีบริการน้ำมันจะต้องมีน้ำมัน B10 ให้บริการ จะทำให้มีความต้องการน้ำมันดิบใช้ผลิต B10 ปีละ 2 ล้านตัน จากผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในประเทศที่ 3.2 ล้านตัน ถือเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของการนำไปใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนการส่งออก จะจำกัดเพียง 3 ด่าน ได้แก่ ด่านแม่สอด ผ่านไปเมียนมา ด่านที่จังหวัดหนองคาย ไป สปป.ลาว และด่านจังหวัดจันทบุรี ไปกัมพูชา ซึ่งจะทำให้การลักลอบนำเข้าที่จะกระทบต่อราคาในประเทศทำได้ยากขึ้น โดยเชื่อว่าในระยะยาว ราคาปาล์มทั้งระบบจะอยู่ในระดับทรงตัว และมีเสถียรภาพมากขึ้น
“ราคาผลปาล์มที่ปรับตัวลดลงขณะนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 - 6 บาทต่อกิโลกรัม จากก่อนหน้านี้ที่เกินกิโลกรัม 7 บาทนั้น เป็นความผันผวนระยะสั้นเท่านั้น และหลังจากนี้ ราคาปาล์มทั้งระบบ จะปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง”